ธนาคารกสิกรไทย ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 34.30-34.90 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขการส่งออกและรายงานเศรษฐกิจและการเงินเดือนต.ค. ของไทย รวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติ สกุลเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย. ยอดขายบ้านใหม่ ดัชนีราคา PCE/Core PCE ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนต.ค. ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2567 (ครั้งที่ 2) ข้อมูลจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และรายงานการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 6-7 พ.ย. นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามข้อมูลกำไรภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค.ของจีน และอัตราเงินเฟ้อเดือนพ.ย.ของยูโรโซนด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ หลังตัวเลขจีดีพีของไทยในไตรมาสที่ 3/2567 ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด นอกจากนี้ เงินบาทยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ยังเผชิญแรงขายทำกำไรและปรับโพสิชั่นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากในช่วงก่อนหน้านี้
เงินบาทลดช่วงบวกบางส่วนลงในช่วงกลางสัปดาห์ท่ามกลางแรงกดดันจากสถานะขายสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ ประกอบกับเงินดอลลาร์ฯ ทยอยฟื้นตัวกลับมา เนื่องจากตลาดเปลี่ยนจุดสนใจกลับมารอประเมินนโยบายและมาตรการต่างๆ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนของโอกาสการลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนธ.ค. อย่างไรก็ดี เงินบาทแข็งค่ากลับมาอีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์ตามแรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกท่ามกลางสัญญาณตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน
โดย ในวันศุกร์ที่ 22 พ.ย. 2567 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ 34.58 บาทต่อดอลลาร์ฯ เทียบกับระดับ 34.82 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (15 พ.ย. 67) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 18-22 พ.ย. 2567 นั้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทย 907 ล้านบาท และมีสถานะอยู่ในฝั่ง Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 1,330 ล้านบาท (แบ่งเป็น ซื้อสุทธิพันธบัตร 91 ล้านบาท หักด้วยตราสารหนี้หมดอายุ 1,421 ล้านบาท)