บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด ประเมิน หุ้นไทย สัปดาห์นี้ (22-26 ก.ค.) คาดว่าดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,310 และ 1,300 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,325 และ 1,335 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขส่งออกเดือนมิ.ย. ของไทย ประเด็นการเมืองในประเทศ ผลประกอบการไตรมาส 2/2567 ของบจ.ไทย และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านมือสอง ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล ดัชนีราคา PCE/Core PCE เดือนมิ.ย. ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ (เบื้องต้น) เดือนก.ค. ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2567 รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การกำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR เดือนก.ค.ของจีน และดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ (เบื้องต้น) เดือนก.ค. ของญี่ปุ่นยูโรโซนและอังกฤษ
โดยดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงเกือบตลอดสัปดาห์ ท่ามกลางแรงขายของกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ โดยหุ้นไทยปรับตัวลงตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ ท่ามกลางแรงขายจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มแบงก์จากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาของบริษัทในหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคแห่งหนึ่งซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ นอกจากนี้ การปรับตัวลงของหุ้นไทยในช่วงต้นสัปดาห์ยังสอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค หลังจากตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2567 ของจีนออกมาอ่อนแอกว่าตลาดคาดการณ์ทั้งนี้หุ้นไทยปรับตัวขึ้นช่วงสั้นๆในเวลาต่อมาโดยมีแรงซื้อของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติเข้ามาหนุน
อย่างไรก็ดี หุ้นไทยร่วงลงอีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์ตามแรงขายหุ้นกลุ่มแบงก์หลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2567 และกลุ่มโรงไฟฟ้าจากความกังวลเรื่องการตรึงค่าไฟของภาครัฐ ประกอบกับนักลงทุนมีความระมัดระวังในการลงทุนระหว่างรอติดตามประเด็นการเมืองในประเทศและการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2567 ของบจ.ไทยอนึ่งสัปดาห์นี้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นสวนทางภาพรวมจากประเด็นข่าวการควบรวมกิจการระหว่างบริษัทที่ประกอบธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมและบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านพลังงาน
สำหรับเมื่อวันศุกร์ที่ 19 ก.ค. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,317.14 จุด ลดลง 1.12% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 39,763.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.34% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 5.53% มาปิดที่ระดับ 336.79 จุด