นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ โพสต์ข้อความบนทรูธ โซเชียล ว่าวันนี้ผมได้ลงนามคำสั่งบริหารประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นภาษี 25% กับสินค้า นำเข้าจากประเทศแคนาดาและเม็กซิโก (10% กับสินค้าพลังงานจากประเทศแคนาดา) และเก็บเพิ่ม 10% กับสินค้านำเข้าจากประเทศจีน มาตรการนี้จะอยู่ภายใต้กฎหมายอำนาจเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ หรือไออีอีพีเอ (IEEPA) เพราะมีปัญหาคุกคามด้านคนเข้าเมืองต่างชาติเข้าเมืองผิดกฎหมาย และยามรณะ ที่ทำให้ชาวอเมริกันต้องเสียชีวิตรายวัน เช่น ยาเฟนทานิล เรามีความจำเป็นต้องปกป้องประชาชนชาวอเมริกัน และสิ่งนี้คือหน้าที่ของผมในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่จะต้องให้มั่นใจว่ามีความปลอดภัยกับทุกคน ผมได้สัญญาตามการรณรงค์หาเสียง ที่จะหยุดยั้งคลื่นคนต่างชาติเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย และยาที่ทะลักมาตามชายแดนของสหรัฐอเมริกาของเรา และชี้ให้เห็นว่าประชาชนชาวอเมริกัน เลือกอย่างท่วมท้นกับความพึงพอใจที่จะได้รับจากมาตรการดังกล่าว
ทำเนียบขาว สหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามในคำสั่งบริหารประกาศใช้มาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าขึ้น 25% กับประเทศเม็กซิโก และแคนาดา และเก็บภาษีสินค้านำเข้าขึ้น 10% กับประเทศจีน อย่างไรก็ตาม ปรับลดอัตราภาษีนำเข้าน้ำมันดิบเหลือเพียง 10% กับประเทศแคนาดา มีผลตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2025 เป็นต้นไป ส่งผลต่อมูลค่าการค้าของทั้ง 4 ประเทศที่จะกระทบถึง 2.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 71.4 ล้านล้านบาท คาดนำไปสู่สงครามการค้าในที่สุด เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาตรวจพบการกระทำที่ผิดกฎหมายในการลักลอบนำเข้าสินค้าประเภทเวชภัณฑ์ที่มีชื่อว่าเฟนทานิลผ่านจากทั้ง 3 ประเทศเข้าสู่สหรัฐอเมริกา
เดอะ บัดเจ็ท แลบ ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจแห่งมหาวิทยาลัยเยล (Yale) สหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า การขึ้นอัตราภาษีระหว่าง 10 ถึง 25% กับ 3 ประเทศยักษ์ใหญ่นั้น มีผลทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายครัวเรือน โดยเฉพาะมีผลกระทบต่อกำลังซื้อของคนอเมริกันราว 1,245 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 42,300 บาท ชุดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐลง 0.2% และกระทบต่อผลของอัตราภาษีศุลกากรในสหรัฐอเมริกาขึ้นสูงสุดในรอบ 79 ปี หรือตั้งแต่ปี 1974
นายเกรก ดาโก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ เอิร์นแอนยัง ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการที่ปรึกษาการลงทุนและการเงินชื่อดังระดับโลก เปิดเผยว่า มาตรการประกาศขึ้นอัตราภาษีสูงดังกล่าวจะมีผลทำให้เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวเพียง 1.5% ในปี ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศแคนาดาและเม็กซิโกจะเกิดภาวะถดถอย และนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อสูงท่ามกลางเศรษฐกิจหยุดนิ่ง หรือ Stagflation ของทั้ง 2 ประเทศ
นอกจากนี้คาดว่าจะเกิดความผันผวนในตลาดการเงินโลกตามมา โดยเกิดขึ้นแล้วกับ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐรายสัปดาห์ที่ทะยานแข็งค่าขึ้น ทำสถิติดีที่สุดในรอบหนึ่งเดือนครึ่งหรือนับตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน 2024 เป็นต้นมา ในเวลาเดียวกันค่าเงินเปโซเม็กซิโกโล่งอ่อนค่าหนักกว่า 2% และ ค่าเงินดอลล่าร์แคนาดารวมลงมากถึง 1.4% ในสัปดาห์นี้ สอดรับกับนักลงทุนเทขายหุ้นในตลาดหุ้นนิวยอร์กสารัทธ์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านไปพบว่าปิดลดลงทั้งตลาด
มาตรการเก็บขึ้นภาษีสินค้านำเข้าที่มีผลบังคับใช้กับ 3 ประเทศดังกล่าว ซึ่งเป็นแคนาดา จีน และเม็กซิโก ล้วนเป็น 3 ประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่มีมูลค่าการค้าขายกับประเทศสหรัฐอเมริกาในอันดับต้นๆ เนื่องจากมีมูลค่าการค้าของ 3 ชาติรวมกันคิดเป็นมากกว่า 41% ของมูลค่าการค้าในช่วงเดือนมกราคมถึง พฤศจิกายนหรือ 11 เดือนแรกในปี 2024 จึงคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อมูลค่าสินค้าในสหรัฐอเมริกามากถึงหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เช่น รถยนต์ น้ำมัน เวชภัณฑ์ สินค้าเกษตร เป็นต้น
ประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวในช่วงเวลาถัดมาว่า ทั้งสามประเทศดังกล่าวนั้น ไม่สามารถที่จะทำสิ่งใดลงไปเพื่อที่จะชะลอการบังคับใช้มาตรการขึ้นภาษีกับสินค้านำเข้าของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ในอนาคตอันใกล้ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะประกาศใช้มาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้ากับสินค้าอื่นๆ ในประเทศต่างๆ ตามมา ซึ่งคาดว่าจะมีผลในวันที่ 18 กุมภาพันธ์นี้
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจนานาชาติ ปีเตอร์สัน ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่านโยบายและมาตรการเก็บขึ้นภาษีกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปมีราคาเพิ่มขึ้น และมีผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายในครัวเรือนสหรัฐอเมริกาเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 2,600 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 88,400 บาท สอดรับกับ สภาการค้าปลีกแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา หรือ NRF เปิดเผยว่า การเก็บภาษีขึ้น 10% จากสินค้านำเข้า และ การขึ้นอัตราภาษีอีก 60% จากสินค้านำเข้าของประเทศจีน ส่งผลให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายในครัวเรือนของคนอเมริกันพุ่งทะยานขึ้นถึง 19.4%