นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เปิดเผยว่า ในปี 2566 ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยใน 27 จังหวัดสำคัญ ซึ่งรวมกรุงเทพฯและปริมณฑล และจังหวัดในเมืองหลัก มียอดขายได้ใหม่ที่ลดลง 16% มูลค่าลดลง 14% แต่ผู้ประกอบการ ยังคงเปิดตัวใหม่ในส่วนเป็นอาคารชุด แต่บ้านจัดสรรเริ่มปรับตัวลดลงและเป็นหน่วยที่มีราคาแพง ทำให้มีหน่วยเปิดตัวใหม่เพิ่ม 1% แต่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับปีก่อน
และด้วยสถานการณ์ที่ยอดขายได้ใหม่มีน้อยกว่าหน่วยเปิดตัวใหม่ ทำให้มีหน่วยเหลือขายรวมทุกระดับราคาประมาณ 307,000 หน่วย เพิ่มขึ้นประมาณ 9% และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.55 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.9%
“มีข้อสังเกตที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ในกรุงเทพและปริมณฑล มีหน่วยเหลือขายและมูลค่าเพิ่มขึ้น 11% เทียบจากไตรมาส 4/2566 โดยเฉพาะหน่วยและมูลค่าอาคารชุดเหลือขาย เพิ่มขึ้น 25% ส่วนบ้านแนวราบราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นทาวน์เฮาส์ ที่มีอุปทานทรงตัวต่อเนื่อง ไม่มีเปิดใหม่มากนัก เพราะราคาที่ดินแพงเกินไป” นายวิชัยกล่าว
โดยในปี 2567 จะเห็นผู้ประกอบการ นำโครงการพร้อมอยู่มาจัดโปรโมชั่นลดราคา หรืออาจร่วมกับธนาคารพันธมิตรเพื่อจัดดอกเบี้ยพิเศษให้กับลูกค้า ให้เกิดยอดจองและยอดโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดรายได้และกระแสเงินสดเข้าสู่บริษัทได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนการเปิดตัวโครงการใหม่ในครึ่งปีแรกคงไม่คึกคักมาก ต้องดูในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลงและภาวะเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวขึ้นจากการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายของประเทศหลังเดือนพฤษภาคม 2567 ไปแล้ว เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้นจะทำให้อสังหาริมทรัพย์ดีไปด้วย
ด้านนายอุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า กรณีลูกค้ากู้แบงก์ไม่ผ่านบริษัทพยายามช่วยลูกค้า โดยโยกไปซื้อโครงการที่มีราคาลดลงจากเดิมที่ราคาอาจสูงเกินไป เช่น เดิมจะซื้อบ้านราคา 8-9 ล้านบาท แต่ความสามารถซื้อได้ 5 ล้านบาท เป็นต้น รวมถึงแนะนำวิธีการปิดหนี้และยื่นขอกู้ใหม่ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน ซึ่งกลุ่มราคาต่ำ 3 ล้านบาทที่มียอดรีเจ็กต์เรตสูงประมาณ 50% ต้องนำมาขาย2รอบ ส่วนระดับบนยังพอไปไหวเพราะคนมีกำลังซื้อและมีเครดิตจึงไม่มีปัญหาเรื่องแบงก์ไม่ปล่อยกู้
ทั้งนี้ดูจากสต๊อกที่ยังคงเหลือในตลาด คาดว่าในไตรมาสแรกของปีนี้ คงจะได้เห็นสงครามโปรโมชั่นกันมากขึ้น เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อและเร่งรับรู้รายได้จากสินค้าพร้อมอยู่พร้อมโอน
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร้อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมียอดรีเจ็กต์เรตกลุ่มราคาต่ำ 3 ล้านบาท ประมาณ 30-40% โดยได้ช่วยลูกค้าเพื่อให้สามารถซื้อที่อยู่อาศัยด้วยการย้ายไปซื้อโครงการที่จะสร้างเสร็จอีก 6-10 เดือน เพื่อที่ลูกค้าจะได้มีเวลาเคลียร์ภาระหนี้และยื่นกู้ใหม่ได้