นายภราดร ปริศนานันทกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เฟส 2 จำเป็นต้องหยุดไว้ก่อน เนื่องจากมีข้อจำกัดของกฎหมายเลือกตั้ง ทำให้ไม่สามารถที่จะดำเนินโครงการได้ ซึ่งรัฐบาลได้พยายามดำเนินการ โดยเตรียมนำเรื่องนี้เสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันอังคารหน้า (16 ธ.ค.) แต่ก็มีประกาศยุบสภาออกมาก่อน
ด้าน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เฟส 2 และการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ภายหลังการยุบสภาว่า ต้องรอฟังการชี้แจงจากนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะว่าอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นายกรัฐมนตรี ยังไม่ได้มีการเรียกประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ
ทั้งนี้ นายเอกนิติ ปฎิเสธตอบคำถามว่าได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยแล้วหรือไม่ เพียงแต่ยิ้ม
ทั้งนี้ ตามขั้นตอนต่อไป เมื่อมีการโปรดเกล้าให้ยุบสภาฯ แล้ว รัฐบาลจะอยู่ในโหมดรักษาการ เพื่อรอการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 169 กำหนดข้อห้ามว่า ด้วยเรื่องสำคัญๆ สำหรับรัฐบาลรักษาการไว้ ได้แก่
-ห้ามอนุมัติงานหรือโครงการ ที่ก่อภาระผูกพันคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ยกเว้นกรณีที่กำหนดไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีอยู่แล้ว
-ห้ามการแต่งตั้ง โยกย้ายหรือถอดถอนบุคลากรของรัฐ เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อน
ห้ามอนุมัติการใช้จ่ายงบประมาณสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจาก กกต. ก่อน
-ห้ามใช้ทรัพยากรของรัฐที่อาจมีผลในการเลือกตั้ง
จากข้อห้ามดังกล่าวส่งผลให้การดำเนินนโยบายของรัฐบาลนายอนุทิน ที่ค้างคาอยู่ต้องสะดุดไป โดยเฉพาะนโยบายสำคัญที่ประชาชนรออยู่อย่าง คนละครึ่งพลัส เฟส 2 ที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียด เนื่องจากโครงการที่ก่อภาระผูกพันคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป อีกทั้งยังต้องใช้งบประมาณสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นอีกด้วย
ส่วนคนละครึ่งพลัสเฟส 1 ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ยังสามารถใช้จ่ายต่อไปได้ เพราะเป็นโครงการที่อนุมัติก่อนยุบสภา เช่นเดียวกับการเปิดลงทะเบียนโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ ที่รัฐบาลกำหนดจะเริ่มเปิดลงทะเบียนในต้นปีหน้า จะต้องชะลอออกไปก่อนแบบไม่มีกำหนด อีกทั้ง ยังกระทบต่อมาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อการออมส่วนบุคคลหรือ TISA แม้หลักการจะผ่าน ครม.เศรษฐกิจ ไปแล้ว แต่ยังไม่ตกผลึกในรายละเอียด โดยเฉพาะประเด็นวงเงินรายได้ของผู้ออมที่นำมาหักลดหย่อนภาษีที่กำหนดไว้ 8 แสนบาท และมีเงื่อนไขคนที่มีรายได้มากกว่า 1.5 ล้านบาท ให้ลดหย่อนภาษี 0.7 เท่า ส่วนคนที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ได้ลดหย่อนภาษี 1.3 เท่า ซึ่งขณะนี้ยังเปลี่ยนแปลงได้ เพราะข้อเสนอดังกล่าวเป็นแค่แนวทางศึกษาหนึ่งเท่านั้น