นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการคนละครึ่ง พลัส ว่า ภาพรวมการใช้จ่าย ณ เวลา 10.00 น. ของวันที่ 30 ต.ค.68 พบว่า มีประชาชนใช้จ่ายอย่างคึกคัก คิดเป็นวงเงินกว่า 2 พันล้านบาท ในส่วนนี้แบ่งเป็น ประชาชนจ่าย 1.4 พันล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่าย 1.2 พันล้านบาท โดยมีประชาชนใช้สิทธิ 8.7 ล้านคน จากจำนวนผู้ได้รับสิทธิทั้งหมด 20 ล้านคน ซึ่งในส่วนนี้ เป็นผู้ที่อยู่ในระบบภาษี 7.9-8 ล้านคน และผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษีอีก 12 ล้านคน ผ่าน 5.4 แสนร้านค้า โดยปัจจุบัน มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการแล้ว 6.9 แสนร้านค้า โดยในจำนวนนี้เป็นร้านค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่ม 3.4 แสนร้านค้า ที่เหลือเป็นร้านธงฟ้า และอื่น ๆ
ขณะที่เมื่อพิจารณาการใช้จ่ายของแต่ละภูมิภาค พบว่า ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) มีการใช้จ่ายคึกคัก คิดเป็น 20% ที่เหลือเป็นภาคอื่น ๆ ราว 14-15% ส่วนภาคตะวันตก มีการใช้จ่ายน้อยที่สุด เนื่องจากมีร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการค่อนข้างน้อย โดยการใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ราว 52%
นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง ยังได้ดำเนินการระงับสิทธิกับร้านค้าที่ทำผิดเงื่อนไขโครงการคนละครึ่ง พลัส เพิ่มอีก 7 ราย จากก่อนหน้านี้ดำเนินการไปแล้ว 3 ราย โดยทั้งหมดเป็นผู้ประกอบการร้านค้า ที่มีแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” สืบเนื่องจากการเพิ่มระบบ Data Analysis ในการตรวจสอบและติดตามการใช้จ่ายในโครงการ ซึ่งทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจจับธุรกรรมที่ต้องสงสัย หรือผิดปกติได้มากขึ้น พร้อมยืนยันว่า ปัจจุบัน ร้านค้าหรือประชาชนที่ทำผิด หรือส่อทำผิดตามเงื่อนไขของโครงการคนละครึ่ง พลัส ยังมีจำนวนน้อย แต่หากหน่วยงานที่รับผิดชอบเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจและติดตาม ก็เชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาในส่วนนี้ไปได้ และกระทรวงการคลัง ยืนยันชัดเจนว่าหากพบมีการกระทำผิดเงื่อนไขของโครงการ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าหรือประชาชน พร้อมจะดำเนินคดีฉ้อโกงอย่างถึงที่สุดทุกกรณีทั้ง 2 ฝ่าย ไม่มีการยอมความแต่อย่างใด
ส่วนข้อกังวลเรื่องการถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลังนั้น อยากชี้แจงว่าหากธุรกิจ ร้านค้า หรือประชาชนที่เข่าข่ายต้องเสียภาษีอยู่แล้ว ในส่วนนี้กรมสรรพากร จะมีเครื่องมือในการตรวจสอบที่มีศักยภาพอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับโครงการคนละครึ่ง พลัส แน่นอน