มหาวิทยาลัยสวนดุสิต รายงานผลสำรวจสวนดุสิตโพลเกี่ยวกับความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่องคนไทยกับการรับมือปัญหาเศรษฐกิจ โดยสำรวจระหว่างวันที่ 6-9 พฤษภาคม 2568 มองว่า 51.59% มองสถานการณ์เศรษฐกิจไทย ณ วันนี้ ทำให้ค่อนข้างกังวลโดย 73.23% ยอมรับว่ากังวลมากที่สุดคือราคาสินค้าแพงขึ้น มี 48.32% หากไม่มีรายได้เลย ประชาชนจะมีเงินสำรองฉุกเฉินต่อไปได้น้อยกว่า 1 เดือน ขณะที่ 77.37% ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล เปิดเผยว่าผลโพลครั้งนี้สะท้อนว่าประชาชนกังวลกับปัญหาเศรษฐกิจที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เห็นความเปราะบางทางการเงินของคนไทยที่เกือบครึ่งหนึ่งมีเงินสำรองฉุกเฉินใช้ได้ไม่ถึงเดือน แม้จะมีความพยายามในการลดรายจ่ายหรือพยายามวางแผนการเงินก็ตาม นอกจากนี้จากผลการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลที่ยังไม่เห็นผลชัดเจนนักก็ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนด้วยเช่นกัน
การวางแผนการเงินส่วนบุคคล พบว่า 58.99% มีการวางแผนแต่ไม่ได้ทำต่อเนื่อง ขณะที่ 76.06% มองว่าไม่เชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐ มีเพียง 23.94% ที่เชื่อมั่น
ว่าที่ร้อยเอกศักดา ศรีทิพย์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า จากปัจจัยการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐ ปัจจัยการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวทำให้นักท่องเที่ยวลดลง ซึ่ง 2 ปัจจัยนี้เป็นองค์ประกอบหลักของ GDP ประเทศไทย ทำให้ประชาชนค่อนข้างกังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจจุบัน กังวลว่าราคาสินค้าจะแพง ค่าครองชีพจะสูง หนี้สินครัวเรือนจะเพิ่มขึ้น และประชาชนส่วนใหญ่มีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายในยามฉุกเฉินน้อยกว่า 1 เดือน จึงต้องลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลง ลดการก่อหนี้ใหม่ เก็บออมเงินมากขึ้น เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจ
