สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เผยมุมมองการบรรยายและเสวนา ในหัวข้อ “ตื่นรู้ ปรับเปลี่ยน รับความเสี่ยงภัยจากสภาพภูมิอากาศในโลกใหม่ที่ต้องเผชิญ (Adapting to climate change : New World-New Risk-New Practice)” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 ณ สำนักงาน คปภ.
ในเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเพื่อถอดบทเรียนและแชร์ประสบการณ์ในเรื่องดังกล่าว ผู้ร่วมเสวนาได้ให้มุมมองสำคัญ นางสาววสุมดี วสีนนท์ รองเลขาธิการ ด้านกำกับคนกลางและประกันภัยภูมิภาค สำนักงาน คปภ. กล่าวว่า สำนักงาน คปภ. ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการด้านการประกันภัยเพื่อบริหารจัดการและช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์ภัยพิบัติ (Insurance Center for Disaster Management and Co-operation) หรือศูนย์ ICD นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับกระบวนการบริหารความเสี่ยงที่สอดคล้องกับสมาคมผู้กำกับดูแลธุรกิจประกันภัยนานาชาติ (International Association of Insurance Supervisor) หรือ IAIS ซึ่งปัจจุบันให้ความสำคัญกับความเสี่ยงทางโลกไซเบอร์ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และบทบาทของธุรกิจประกันภัยในการตอบสนองต่อสังคม ตามลำดับ โดยในแง่ของ Climate change ได้ยกระดับการป้องกันด้วยระบบประกันภัย ซึ่งสิ่งที่สำนักงาน คปภ. ทำอยู่ก็คือ การทำให้กฎระเบียบต่าง ๆ มีความเข้มแข็งมากขึ้น มีการประยุกต์ใช้แนวคิดในเรื่องของการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมในกระบวนการทำงาน และมุ่งเน้นเรื่องการใช้ DATA ซึ่งปัจจุบันมีการเก็บข้อมูลของกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้รองรับความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติอย่างครอบคลุมมากขึ้น และมีมาตรการส่งเสริมบทบาทธุรกิจประกันภัยที่สร้างความตระหนักรู้ต่อสาธารณชนเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการช่วยลดความเสี่ยงภัยที่จะเกิดขึ้นกับ ประเทศชาติ ธุรกิจ และกับโลก
นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจประกันภัยเผชิญความท้าทายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น จากการวิจัยล่าสุดในปี 2024 ธุรกิจประกันภัยทั่วโลก จ่ายค่าสินไหมทดแทนสำหรับภัยพิบัติประมาณ 140-150 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี ถึง 27% และเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันที่ยอดจ่ายสินไหมเกิน 100 พันล้านดอลลาร์ สิ่งที่น่าสนใจคือในช่วง 2 ปีที่ผ่านมายังไม่มีแผ่นดินไหวขนาดใหญ่เกิดขึ้น ดังนั้น หากเกิดขึ้นในอนาคตตัวเลขสินไหมก็อาจเพิ่มขึ้นมหาศาล ในประเทศไทยเองภัยธรรมชาติเกิดถี่ขึ้นและรุนแรงมากขึ้น บริษัทประกันภัยจึงต้องมีปรับตัว ใน 2 ด้าน คือ การออกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมโดยใช้เทคโนโลยีเพื่อแยกพื้นที่เสี่ยงภัยอย่างแม่นยำ และร่วมมือกับเจ้าของพื้นที่ในการทำมาตรการ ลดความเสี่ยง และการรักษาสถานะทางการเงินให้มั่นคงเพียงพอที่จะจ่ายค่าสินไหมเมื่อเกิดเหตุ แต่อย่างไรก็ตาม ก็มองว่าเป็นโอกาสของธุรกิจประกันภัยด้วยเช่นกัน เนื่องจากปัจจุบันเพียง 40% ของความเสียหายจากภัยพิบัติทั่วโลกที่มีการทำประกันภัย โดยหากสามารถส่งเสริมให้มีการทำประกันภัยแพร่หลายมากขึ้น จะช่วยกระจายความเสี่ยงและทำให้เบี้ยประกันภัยไม่แพงเกินไปสำหรับพื้นที่เสี่ยงภัย
นายณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงไทย – แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ระบุว่า กลุ่มบริษัทแอกซ่า กรุ๊ป เริ่มตระหนักรู้เกี่ยวกับ Climate change ตั้งแต่ปี 2015 โดยเริ่มจากลดการลงทุนในอุตสาหกรรมถ่านหินที่ทำให้เกิดโลกร้อน ซึ่งทุกปีได้มีการสำรวจความตระหนักรู้เพื่อจัดอันดับความเสี่ยง และล่าสุดปี 2024 ได้สำรวจผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 22,000 คนทั่วโลก สรุปได้ว่า อันดับ 3 คือ Cyber Security หรือความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ อันดับ 2 สภาวะสงคราม และอันดับ 1 คือ Climate change การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีผลกระทบกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัยที่ทำให้เกิดความสูญเสียในหลายด้านที่เราต้องประเมินความเสี่ยงและรับความเสี่ยงภัยที่เกิดขึ้น ดังนั้น บทบาทของบริษัทประกันภัย มี 3 ส่วน ด้วยกัน คือ 1) บริษัทประกันภัยรับเงินจากผู้เอาประกันภัยมาแล้วต้องนำเงินไปลงทุนที่ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงเหล่านี้ เช่น การลงทุนที่หลีกเลี่ยงอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิด Climate change 2) การออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตอบโจทย์ผู้เอาประกันภัย และสามารถลดความเสี่ยงภัยได้ และ 3) คำนึงถึง กลุ่มเปราะบาง โดยการออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อกลุ่มเปราะบางให้สามารถเข้าถึงการทำประกันภัยได้ นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทแอกซ่า มีเป้าหมายชัดเจนในการลดคาร์บอน และมีนโยบายไม่ลงทุนกับกลุ่มอุตสาหกรรมถ่านหินและน้ำมันดิบ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และอยากสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนประชาชนทุกภาคส่วนร่วมมือกันหันมา ให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอนที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ