นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม.มีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติปรับกรอบวงเงินรวมของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ (โครงการ) ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เป็น 29,763.57 ล้านบาท
2. เห็นชอบให้ ร.ฟ.ท. ดำเนินการด้วยวิธีปรองดอง จำนวน 197.37 ล้านบาท ตามนัยมาตรา 39 (5) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 เพื่อใช้ในการจ่ายเงินค่าทดแทนพื้นที่เวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในโครงการ สัญญาที่ 1 ช่วงมาบกะเบา-คลองขนานจิตร และสัญญาที่ 3 งานอุโมงค์รถไฟ ต่อไป
โดยสาระสำคัญของเรื่อง
1. เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2559 อนุมัติในหลักการให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ (โครงการ) ในกรอบวงเงิน 29,449.31 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) ค่าเวนคืนที่ดิน วงเงิน 56 ล้านบาท (2) ค่าก่อสร้าง วงเงิน 28,598.86 ล้านบาท และ (3) ค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการประกวดราคาและควบคุมงาน วงเงิน 794.45 ล้านบาท
และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2560 อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายการค่าก่อสร้างและค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารโครงการและควบคุมงานก่อสร้างของโครงการ และอนุมัติรายการค่าจ้างที่ปรึกษาเพิ่มเติมอีก 2 รายการ ได้แก่ ค่าจ้างที่ปรึกษาทบทวน จัดทำเอกสารประกวดราคา และดำเนินการประกวดราคาโดยวิธีการประกวดราคานานาชาติ (International Bidding) และค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อปรับแบบรายละเอียด อำเภอสีคิ้วและตัวเมืองนครราชสีมา ส่งผลให้กรอบวงเงินรวมของโครงการ เพิ่มเป็น 31,129.22 ล้านบาท ทั้งนี้ ในส่วนของค่าเวนคืนที่ดินยังคงมีกรอบวงเงิน 56 ล้านบาท คงเดิม
2. เมื่อเริ่มดำเนินโครงการ ร.ฟ.ท. จะต้องดำเนินการเวนคืนที่ดินและอสังหาริมทรัพย์เพื่อก่อสร้างทางและสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงขั้นตอนการกำหนดเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนพบว่า ค่าทดแทนดังกล่าวมีมูลค่าสูงกว่ากรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเห็นชอบไว้
เนื่องจากที่ดินมีมูลค่าสูงขึ้นประกอบกับมีพื้นที่บางส่วนที่ตกสำรวจและไม่ได้มีการประมาณราคาค่าทดแทนสิ่งปลูกสร้างและต้นไม้ไว้ในขั้นตอนขออนุมัติกรอบวงเงินของโครงการ ส่งผลให้กรอบวงเงินค่าเวนคืนที่ดินเพิ่มขึ้น โดยที่ในส่วนของสัญญาที่ 2 ช่วงคลองขนานจิตร-ชุมทางถนนจิระ ยังมีความไม่ชัดเจนในการปรับแบบก่อสร้างเนื่องจากข้อร้องเรียนของประชาชนในพื้นที่
ดังนั้น เพื่อไม่ให้โครงการ เกิดความล่าช้า และ ร.ฟ.ท. สามารถส่งมอบพื้นที่ให้ผู้รับจ้างได้โดยเร็ว กระทรวงคมนาคม (คค.) จึงขอเสนอปรับเพิ่มกรอบวงเงินเฉพาะในส่วนของค่าเวนคืนที่ดินของสัญญาที่ 1 ช่วงมาบกะเบา-คลองขนานจิตร และสัญญาที่ 3 งานอุโมงค์รถไฟอีกจำนวน 197.37 ล้านบาท ส่งผลให้กรอบวงเงินค่าเวนคืนของโครงการ เพิ่มขึ้นจากเติม 56 ล้านบาท เป็น 253.37 ล้านบาท ทั้งนี้ ในส่วนของสัญญาที่ 2 ช่วงคลองขนานจิตร-ชุมทางถนนจิระ คค. จะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายหลังต่อไป
3. ที่ผ่านมา ร.ฟ.ท. ได้ลงนามตามสัญญาค่าก่อสร้างเพื่อดำเนินโครงการ ไปแล้วบางส่วน ประกอบกับค่าใช้จ่ายสำหรับเวนคืนที่ดินมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้วงเงินรวมโครงการ ในปัจจุบันแตกต่างไปจากที่คณะรัฐมนตรีได้เคยให้ความเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2559 และเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2560 ดังนั้น คค. จึงขอปรับกรอบวงเงินรวมของโครงการ ให้มีความเป็นปัจจุบันและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงสรุปได้ ดังนี้
4. กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง