นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการและกลไกที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนและเรียกความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund: LTF) หรือกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG Fund) ซึ่งต้องพิจารณาถึงความเหมาะสม และผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้อย่างคุ้มค่ากับเงินที่จะลงไปในตลาดทุน
ทั้งนี้ สถานการณ์ตลาดทุนไทยในปัจจุบันยังมีปัจจัยกดดันในเรื่องความเชื่อมั่นในระยะสั้น แต่ไม่ได้กระทบต่อปัจจัยพื้นฐาน เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายไปทีละเรื่องก็เชื่อว่าความมั่นใจในตลาดจะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ดังนั้นจึงไม่กังวลในเรื่องของความผันผวนในระยะสั้นมากนัก แต่ในฐานะรัฐบาลจะต้องเข้ามาดูเรื่องโครงสร้างระยะยาวในการเติบเงินหมุนเวียนในตลาดทุน
อย่างไรก็ตาม เช้าวันนี้ (18 มิ.ย.) ตลาดหุ้นไทยเริ่มกลับมาเป็นบวกแล้ว พอมีข่าวเรื่องของอดีตนายกรัฐมนตรีออกมา อย่างที่บอกว่าเป็นเรื่องของความเชื่อมั่นระยะสั้น ซึ่งเราคงไม่ออกมาตรการเนื่องจากการแกว่งตัวในระยะสั้น พอผ่านพ้นการวินิจฉัยไปทีละเรื่อง เคลียร์ไปทีละเรื่องก็จะกลับสู่ระดับปกติ โดยกลไก 2 ตัวข้างต้น ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและต้องใช้เวลา
ทั้งนี่ โดยพื้นฐานกองทุนรวมหุ้น LTF และ Thai ESG มีลักษณะที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งกองทุน Thai ESG จะรวมเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาล ดังนั้นมาตรการที่จะออกมาจะเลือกเพียงตัวใดตัวหนึ่ง
โดยจะพิจารณาปรับเงื่อนไข 2 เรื่อง คือ ความครอบคลุมของหุ้นที่อยู่ในกองทุน โดยจะขยายขอบเขตของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนให้กว้างขึ้น เพราะลิสต์ที่เคยทำยังไม่ครอบคลุมธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมทั้ง การวางกรอบระยะเวลาให้เหมาะสม เนื่องจากในระยะแรกที่มีการออกกองทุน Thai ESG ระยะเวลาค่อนข้างสั้นทำให้หลายคนเข้าร่วมไม่ทัน ดังนั้นจึงต้องวางกลไกที่เหมาะสม สำหรับเรื่องระยะเวลาการถือครองคาดว่าจะกำหนดให้สั้นกว่า 10 ปีแน่นอน เพราะถ้านานเกินไปจะไม่จูงใจนักลงทุน โดยยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด