นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ประกอบด้วย 2 มาตรการ ได้แก่ 1.การปรับปรุงโครงสร้างและอัตราภาษีสุราเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว โดยสรรพสามิตได้มีการปรับปรุงอัตราภาษีสินค้าสุราแช่ และภาษีสุราแช่พื้นบ้าน อาทิ อุ กระแช่ สาโท เป็นอัตราภาษีตามมูลค่า 0% และอัตราภาษีตามปริมาณ 150 บาทต่อปริมาณ 1 ลิตรต่อ 100 ดีกรี โดยลดลงจากอัตราภาษีตามมูลค่า 10% และอัตราภาษีตามปริมาณ 150 บาทต่อปริมาณ 1 ลิตรต่อ 100 ดีกรี
ส่วนสุราแช่ที่มีสุรากลั่นผสม อาทิ โซจู ตั้งเป็นพิกัดใหม่แยกจากสุราแช่ โดยมีอัตราภาษีที่ อัตราภาษีตามมูลค่า 0% และอัตราภาษีตามปริมาณ 255 บาทต่อปริมาณ 1 ลิตรต่อ 100 ดีกรี ขณะที่อัตราภาษีไวน์และไวน์ผลไม้โดยยกเลิกการจัดเก็บภาษีจากการแบ่งชั้นของราคา และกำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีเป็นอัตราเดียว เพื่อสอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยอัตราใหม่คือ อัตราภาษีตามมูลค่า 5% และอัตราภาษีตามปริมาณ 1,000 บาทต่อปริมาณ 1 ลิตรต่อ 100 ดีกรี ส่วนไวน์ผลไม้ (ฟรุ๊ตไวน์) อัตราภาษีตามมูลค่า 0% และอัตราภาษีตามปริมาณ 900 บาทต่อปริมาณ 1 ลิตรต่อ 100 ดีกรี
นอกจากนี้ สรรพสามิต ยังมีการปรับปรุงอัตราภาษีสถานบริการซึ่งประกอบกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ จาก 10% ของรายรับของสถานบริการโดยไม่หักค่าใช้จ่ายเป็น 5% ของรายรับของสถานบริการโดยไม่หักค่าใช้จ่ายมาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการระยะสั้นมีกำหนดระยะเวลาประมาณ 1 ปี หรือสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิดกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งและส่งเสริมการท่องเที่ยว สำหรับกรมศุลกากรได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างภาษีศุลกากรสินค้าไวน์ให้สอดคล้องมาตรการ โดยยกเว้นอากรขาเข้าสินค้าไวน์ รวม 21 รายการ จากเดิมที่มีอัตราอากร 54% และ 60%
“โดยมาตรการข้างต้น จำเป็นต้องตราเป็นกฎกระทรวงและประกาศกระทรวงการคลังตามลำดับ ซึ่งจะได้เร่งดำเนินการให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วภายในเดือนมกราคม 2567 ทั้งนี้ ในภาพรวมมาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว จะส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิตและภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้นสุทธิประมาณ 401ล้านบาทต่อปี และเศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้น 0.0073% เทียบกับกรณีไม่มีมาตรการ รวมทั้งยังเพิ่มรายได้ภาคการท่องเที่ยวเป็น 1.492 ล้านล้านบาท เป็น 1.495 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.9 พันล้านบาท”