นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเพื่อประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่จะมีต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย โดยหลักคือขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อยาวนานขนาดไหน แต่หากประเมินในเบื้องต้นตั้งแต่เริ่มอพยพประชาชนในพื้นที่ สถานการณ์น่าจะดำเนินมาหลักสัปดาห์ ถ้าประเมินแบบเร็ว ๆ ไม่นับรวมผลกระทบทางการค้าก็น่าจะอยู่ที่ราว 1 หมื่นล้านบาท
โดยรัฐบาลยังมีงบในการกระตุ้นเศรษฐกิจเหลืออีก 4.2 หมื่นล้านบาท จากวงเงินในก้อน 1.57 แสนล้านบาท หลังจากจัดสรรให้โครงการต่าง ๆ ไปแล้ว 1.15 แสนล้านบาท วงเงินที่เหลือเบื้องต้นจัดสรรไปแล้ว 1 หมื่นกว่าล้านบาท เหลืออีกราว 2.5 หมื่นล้านบาทที่จะสามารถนำมารองรับผลกระทบจากสถานการณ์ไทย-กัมพูชาได้ แต่อาจจะไม่เพียงพอก็คงต้องดึงงบประมาณในส่วนอื่นเข้ามาเสริมด้วย เพราะจากสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จะต้องมีการก่อสร้าง ซ่อมแซมบ้านเรือนอีกเยอะมาก ดังนั้นงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหลืออยู่ 2.5 หมื่นล้านบาทอาจจะไม่พอ อาจต้องเอางบที่อื่นมาช่วยด้วย ส่วนถามว่าจะต้องมีการกู้เงินเพิ่มหรือไม่ เบื้องต้นยังไงก็ต้องใช้เงินตามกรอบงบประมาณ ส่วนการกู้เงิน ก็ต้องกู้ตามแผนของงบประมาณด้วย
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาขณะนี้เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น แม้ว่าอาจจะยังมีการยิงตอบโต้กันอยู่บ้าง แต่เชื่อว่าหลังจากนี้สถานการณ์จะค่อย ๆ คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นแน่นอน
นายพิชัย ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการเจรจาภาษีนำเข้ากับสหรัฐฯ ว่า ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ทางสหรัฐขอหยุดการเจรจาทันทีที่มีการปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา แต่หลังจากเจรจาหยุดยิงแล้ว ทางสหรัฐก็กลับมาเดินหน้าเจรจากับไทยต่อทันที ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบก็ทำงานกันต่อไป ส่วนการยื่นข้อเสนอต่าง ๆ ของไทยนั้นดำเนินการไปแล้วกว่า 99.99% จากนี้ขึ้นอยู่กับสหรัฐฯว่าจะพิจารณาอย่างไร โดยก่อนหน้านี้ ไทยได้ปรับปรุงเงื่อนไขต่าง ๆ และยื่นให้กับสหรัฐฯ ไปเกือบหมดแล้ว อาจจะเหลือในส่วนของร่างสัญญาที่ไม่จำเป็นต้องรีบดำเนินการให้เสร็จ และเมื่อพิจารณาท่าทีของสหรัฐฯ หลังจากได้รับข้อเสนอของไทยแล้วก็น่าจะออกมาในทิศทางที่ดี