คลัง ปรับเพิ่มเป้าจีดีพีไทยปี 68 คาดโต 2.2% จากคาดการณ์เดิม 2.1% เพิ่มเป้าส่งออกโต 5.5% ได้ส่งออก ภาคการผลิต การบริโภคพยุง แม้ท่องเที่ยวชะลอลง

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงประมาณการเศรษฐกิจ (GDP) ไทยปี 2568 โดยคาดว่าจะขยายตัว 2.2% (กรอบ 1.7-2.7%) ดีขึ้นเล็กน้อยจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.1% สอดคล้องกับที่ล่าสุด IMF ปรับคาดการณ์ GDP ไทยปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 2% จากที่เคยมองไว้ 1.8% ภายใต้สถานการณ์นโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ และผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของประเทศคู่ค้าของไทย โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการผลิตภาคอุตสาหกรรม และการส่งออกที่ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับการบริโภคภายในประเทศ ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งได้ปรับคาดการณ์การส่งออกปีนี้ จะขยายตัวได้ 5.5% ดีขึ้นกว่าเดิมที่เคยคาดไว้ที่ 2.3% ดุลบัญชีเดินสะพัด เกินดุล 14.6 พันล้านดอลลาร์ และอัตราเงินเฟ้อทั่วไป อยู่ที่ 0.4% ลดลงจากประมาณการครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 0.8%

สำหรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในครั้งนี้ อยู่บนสมมติฐานที่สำคัญ ได้แก่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของ 15 ประเทศคู่ค้าหลักของไทย เพิ่มขึ้นเป็น 2.8% จากเดิมคาด 2.7% รวมถึงเงินบาทเฉลี่ยทั้งปี 68 คาดว่าอยู่ที่ 33.10 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากปีก่อน 6.2% โดยในช่วงที่เหลือของปี คาดว่าทิศทางของเงินบาทยังแข็งค่าตามสกุลเงินในภูมิภาค และจากผลของการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้นอันเนื่องจากการส่งออกที่เติบโตดี รวมทั้งทิศทางดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ซึ่งเป็นผลจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยของ และความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตลอดจนราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยทั้งปี 68 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 68 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มจากประมาณการครั้งก่อนที่ 65.8 ดอลลาร์/บาร์เรล จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยปีนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ 34.5 ล้านคน ลดลงจากปีก่อน 2.9% โดยปรับลดลงจากประมาณการเดิมที่คาดไว้ที่ 36.5 ล้านคน ส่งผลให้คาดว่าจะมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ 1.62 ล้านล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 3.7% คิดเป็นรายจ่ายของนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ 46,900 บาท/คน/ทริป รายจ่ายภาคสาธารณะ โดยคาดว่ารายจ่ายภาคสาธารณะในปี 68 จะเบิกจ่ายได้ 4.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อน ส่วนการเบิกจ่ายงบรายจ่ายประจำในปีงบประมาณ 68 คาดว่าจะหดตัว 0.2% และรายจ่ายลงทุน คาดว่าจะขยายตัว 61.8%

อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ดีในครึ่งปีแรก แต่จำเป็นต้องติดตามทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังที่อาจเผชิญความท้าทายจากแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทยทั้งทางตรง และทางอ้อม โดยกระทรวงการคลังได้เตรียมตัวรับมือและบรรเทาสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผ่านการดำเนินแผนการขับเคลื่อนฯ ในการลดผลกระทบต่อภาคการส่งออก และมาตรการทางการเงิน เพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างทันท่วงที และตรงจุด ครอบคลุมการจัดเตรียมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและลดภาระทางการเงินของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs ของห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกไปยังสหรัฐฯ

พร้อมเห็นว่า ในระยะต่อจากนี้ ต้องตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด ได้แก่

1. นโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ และผลกระทบทางอ้อมจากการไหลเข้าของสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีที่ย้ายตลาดเข้าสู่ไทยมากขึ้น

2. ทิศทางของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)

3. ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งในและนอกประเทศ

4. ระดับหนี้ครัวเรือนของภาคประชาชน

5. การย้ายฐานการลงทุนและการผลิต ในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ

สำหรับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา โดยประเมินว่า ผลกระทบมีจำกัดอยู่ในพื้นที่ชายแดน 7 จังหวัด และความเสียหายด้านทรัพย์สินและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ทางการทหาร ซึ่งกระทรวงการคลัง ได้ให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีพิพาทชายแดน ทั้งการขยายวงเงินทดรองราชการจังหวัดในพื้นที่ จังหวัดละ 100 ล้านบาท และพร้อมพิจารณาขยายเพิ่มหากไม่เพียงพอ , การเลื่อนกำหนดเวลาชำระภาษี ,การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่อง และพักชำระหนี้ผ่านสถาบันการเงินของรัฐ

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles