นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ภายในเดือน ก.พ. นี้กระทรวงการคลังเตรียมเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพิ่มอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการเป็นพนักงานสอบสวน ให้สามารถทำสำนวนเองและส่งอัยการ เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการและให้สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ทันการณ์ และเพื่อให้ ก.ล.ต. มีอำนาจสั่งการและดำเนินการในคดีอาญาได้เร็วในกรณีเหตุการณ์ที่มีผลกระทบในวงกว้าง (High-Impact) โดยจะมีผลบังคับใช้ภายในปีนี้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งทำให้การดำเนินคดีผู้กระทำผิดจะรวดเร็วยิ่งขึ้น และช่วยทำให้เกิดความเสียหายลดลง เชื่อว่าปัจจัยดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนกลับมามากขึ้น
โดยกระทรวงการคลังอยากเห็น ก.ล.ต.ใช้กฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำเรื่อง Asset-backed, tokenization หรือ token ที่มี Asset-backed เพราะวันนี้ไม่ว่าจะเป็นหลักทรัพย์เดิมหรือสินทรัพย์ดิจิทัล จริง ๆ ก็เป็นนักลงทุนกลุ่มเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อยหรือสถาบันทั้งในและต่างประเทศ ดังนั้นต้องเชื่อมกันได้อย่างไม่มีรอยต่อ
โดยปัจจุบันเห็นว่ามีเงินค้างอยู่ในบริษัทหลักทรัพย์ค่อนข้างมาก บางบริษัทมีหลายแสนล้าน จึงอยากจะเห็นบริษัทหลักทรัพย์หรือ บล. หันมาประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่มากขึ้น เพราะเป็นผู้ที่มีความเข้าใจเพราะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.อยู่แล้ว เพื่อจะมีส่วนร่วมในการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งดีกว่าจะไปเซตบริษัทใหม่ขึ้นมา และน่าจะทำให้การดำเนินการไหล่ลื่นไปได้ เพียงแต่เวลานี้จะทรานซิชั่นกันอย่างไรเท่านั้นเอง
นอกจากนี้กระทรวงการคลังมีแผนที่จะให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ออกพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 10,000 ล้านบาท ในรูปแบบ tokenization คล้ายกับ stablecoin โดยวางแผนจะออกภายในปีนี้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มใหม่และปรับปรุงระบบเดิมเพื่อเชื่อมเข้าด้วยกัน ก็หวังจะสร้างดีมาน์และซัพพลายในตลาดบอนด์ และเฟสต่อไปคงจะพัฒนาไปเชื่อมกับร้านค้าในการซื้อของได้ในอนาคต
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ประธานกรรมการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า การออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพิ่มอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการเป็นพนักงานสอบสวน ให้สามารถทำสำนวนเองและส่งอัยการได้เองนั้น เชื่อว่าหากลดขั้นตอนดังกล่าวลง จะช่วยให้ ก.ล.ต.ดำเนินคดีได้เร็วขึ้น เพราะสามารถส่งคดีไปสู่ศาลได้เร็วอย่างน้อย 6-7 เดือน ส่วนคำนิยามของเคส High-Impact ทางบอร์ด ก.ล.ต. คงต้องไปหารือเพื่อกำหนดร่วมกันก่อน ทั้งมูลค่าความเสียหาย/จำนวนผู้เสียหาย
ศาสตราจารย์ ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า การแก้ไขกฎหมายรอบนี้มีด้วยกัน 4-5 ประเด็น โดยสาระสำคัญคือการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ ก.ล.ต. เป็นพนักงานสอบสวน ซึ่งทำให้สำนวนหรือระยะเวลาดำเนินการกระชับมากขึ้น โดยในชั้นสอบสวน ก.ล.ต. จะมีการทำงานร่วมกับตำรวจและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ซึ่งจะขึ้นอยู่เคสคดีที่จะเข้าเงื่อนไข
นอกจากนี้จะเพิ่มบทลงโทษจากการกระทำความผิดในการซื้อขาย เช่น ชอร์ตเซล ที่จะดำเนินการไปถึงตัวผู้กระทำผิดที่จะต้องรับโทษทางกฎหมาย และเรื่องอื่น ๆ จะเกี่ยวข้องกับการยกระดับพวก Gatekeeper ที่ปัจจุบันมีข้อจำกัดเรื่องของดำเนินการ เช่น การเอาผิดกับสำนักงานสอบบัญชี, การเข้มงวด FA เป็นต้น