นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการหารือกับสมาคมธนาคารไทย เมื่อวันที่ 18 มี.ค. ที่ผ่านมาว่า ได้หารือถึงการปล่อยสินเชื่อใหม่ รวมถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งจะเป็นโครงการที่ต่อเนื่องจาก “คุณสู้ เราช่วย” ที่คาดว่าจะมีผู้ผ่านเกณฑ์และเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ ประมาณ 50% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน หลักๆ คือที่อยู่อาศัย กลุ่มนี้ก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ต่อไป
หลังจากนี้จะต้องมาดูกลุ่มลูกหนี้ที่มีมูลหนี้ไม่เกิน 1 แสนบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และเป็นหนี้จากบัตรเครดิต และหนี้จากการบริโภค โดยกลุ่มนี้คิดเป็น 35% ของหนี้เสีย (NPL) ที่ 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งต้องเข้าไปดูว่าจะสามารถเข้าไปช่วยเหลืออย่างไร และปรับโครงสร้างหนี้อย่างไร โดยอาจจะต้องมีการจัดกลุ่มให้เหมาะสม และระบุให้ชัดเจนว่าจะมีการปรับโครงสร้างหนี้เท่าที่ลูกหนี้จะมีกำลังชำระคืน รวมถึงปรับเปลี่ยนวิธีการให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถทำให้คนกลุ่มนี้กลับมายืนได้แน่นอน
ขณะนี้กำลังพิจารณาว่าจะดึงหนี้ส่วนนี้ออกมาอย่างไร เพราะเจ้าหนี้ติดต่อลูกหนี้ไม่ได้ ขณะเดียวกัน ก็อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้ปลดล็อกให้คนที่เคยติดเครดิตบูโร ให้สามารถกลับมากู้เงินได้ ซึ่งตรงนี้มีแนวทางอยู่แล้ว แต่ยอมรับว่าการแก้ปัญหาพวกนี้ คงไม่เสร็จภายใน 3-6 เดือน เพราะเป็นปัญหาใหญ่ทั้งประเทศ ต้องใช้เวลา ส่วน AMC ที่เปิดดำเนินการอยู่แล้ว เช่น AMC ของธนาคารออมสินนั้น ในหลักการก็สามารถทำเรื่องนี้ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าทุกคนมีกำลังที่จำกัด
อย่างไรก็ตามยอมรับว่าแนวคิดเรื่องการซื้อหนี้คืนนั้น อาจจะต้องมีการใช้งบประมาณบ้าง คงไม่ถึงกับไม่ต้องใช้งบประมาณเลย แต่ทั้งนี้ต้องขอศึกษารายละเอียดให้ชัดเจนก่อน