ดร.นัฐพร โรจนหัสดิน และดร.ชินวัฒน์ หรยางกูร เปิดเผยบทความวิจัยเรื่องพฤติกรรมการออมในสังคมผู้สูงอายุในไทย พบว่าโดยทั่วไปอัตราการออมจะเพิ่มขึ้นในช่วงวัยทำงานเมื่อรายได้เพิ่มขึ้น และจะลดลงเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณซึ่งเป็นช่วงที่บุคคลเริ่มใช้เงินออมเพื่อการดำรงชีพ อย่างไรก็ตามผลการศึกษานี้พบว่า อัตราการออมของครัวเรือนไทยไม่ได้ลดลงจนถึงระดับศูนย์ในช่วงวัยสูงอายุ โดยมีระดับสูงสุดในช่วงอายุประมาณ 56–65 ปี แต่หลังจากนั้นก็ยังคงอยู่ในระดับที่เป็นบวก บ่งชี้ว่าหัวหน้าครัวเรือนส่วนใหญ่ยังคงทำงานหรือมีรายได้หลังวัยเกษียณและยังคงมีพฤติกรรมการเก็บออมในวัยชรา
นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มคนไทยเจนวาย Generation Y หรือเจนเดอะแบก พบว่ากลุ่มเบบี้ บูมเมอร์ Baby Boomers หรือกลุ่มคนไทยที่เกิดขึ้นหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และกลุ่มคนไทยเจนเอ็กซ์ Generation X มีอัตราการออมสูงกว่าเฉลี่ย 22.25% และ 28.01% ตามลำดับ ชี้ให้เห็นว่าประสบการณ์ทางเศรษฐกิจในช่วงวัยทำงานของแต่ละรุ่นมีผลต่อพฤติกรรมทางการเงินในระยะยาว และจากพฤติกรรมที่กลุ่มคนรุ่นใหม่มีการออมที่น้อยลง อาจนำไปสู่ความไม่เพียงพอของเงินออมในวัยเกษียณได้
สาเหตุที่อัตราการออมของผู้สูงอายุไม่ได้ลดลงทั้งหมดอาจมาจากหลายปัจจัย ปัจจัยแรกคือแรงจูงใจในการออมเชิงป้องกัน เนื่องจากผู้สูงอายุในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเก็บเงินสำรองไว้สำหรับค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน อีกทั้งระบบสวัสดิการของภาครัฐ เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซึ่งอยู่ที่เพียง 500-1000 บาทต่อเดือน อาจไม่เพียงพอรองรับค่าใช้จ่ายในวัยเกษียณ ทำให้ครัวเรือนต้องออมเงินเพิ่มขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงทางการเงินในอนาคต
ปัจจัยที่สองคือ แรงจูงใจในการส่งต่อทรัพย์สินให้กับลูกหลาน ซึ่งเป็นลักษณะที่โดดเด่นของวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ งานวิจัยของ Horioka (2014) ชี้ให้เห็นว่าครัวเรือนในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดทรัพย์สินระหว่างรุ่นมากกว่าครัวเรือนในประเทศตะวันตก สิ่งนี้อาจอธิบายได้ว่าทำไมผู้สูงอายุจึงยังคงออมเงิน แม้ว่าจะไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเพื่อการดำรงชีพในอนาคต
ปัจจัยที่สามคือ ขาดแคลนเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยจัดสรรทรัพย์สินในวัยเกษียณ ในประเทศพัฒนาแล้ว ระบบบำนาญและผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น แผนบำนาญแบบรายงวดมักถูกใช้เป็นกลไกช่วยกระจายเงินออมให้เพียงพอตลอดช่วงชีวิตหลังเกษียณ อย่างไรก็ตามในประเทศไทยตลาดผลิตภัณฑ์บำนาญเหล่านี้ยังไม่แพร่หลาย ทำให้ครัวเรือนอาจจะเลือกที่จะถือครองเงินออมในรูปแบบสินทรัพย์สภาพคล่อง หรือเงินสด
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาถึงระดับรายได้ทางการเงินของครัวเรือนจะพบว่าระดับรายได้ของครัวเรือนในคนสูงอายุนั้นอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ กล่าวคือเมื่ออายุ 65 ปี รายได้ทางการเงินเฉลี่ยของครัวเรือนอยู่ที่ระดับประมาณ 10,600 บาทต่อเดือน ดังนั้น แม้ว่าครัวเรือนจะมีอัตราการออมเป็นบวก แต่อาจไม่สะท้อนถึงระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่ลดลงในวัยสูงอายุอาจเกิดจากข้อจำกัดในการบริโภค หรือการลดการใช้จ่ายเพื่อให้สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลง แทนที่จะเป็นผลจากความสามารถในการออมที่เพิ่มขึ้น กล่าวคือครัวเรือนอาจยังออมได้เพียงเพราะบริโภคในระดับต่ำมากกว่าการมีรายได้ที่เพียงพอ