นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. ในวันนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้พิจารณาเรื่องการใช้งบประมาณใน 3 ส่วน ได้แก่ งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้าน งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 และงบประมาณกลาง ให้ดำเนินการอย่างรัดกุมและกลั่นกรองอย่างละเอียด ระมัดระวัง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ผู้ใดให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อย่างไรก็ตามในการประชุมคณะอนุกรรมการฯ วันนี้ จะมีการกำหนดกรอบการใช้งบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท ให้มีการลงรายละเอียดให้มีความชัดเจนมากขึ้น อาทิ โครงการน้ำจะต้องเป็นโครงการในพื้นที่ที่เกิดปัญหาน้ำท่วม หรือภัยแล้งซ้ำซาก ไม่ใช่ในพื้นที่ใดก็ได้ ส่วนโครงการถนนต้องเป็นโครงการที่เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน โลจิสติกส์ของประเทศได้
ขณะเดียวกันมีการกำหนดให้ทุกโครงการไม่ให้ใช้วิธีการจัดซื้อจัดจ้างวิธีพิเศษ จะต้องมีการประมูลโครงการตามวิธีปกติ รวมทั้งจะไม่พิจารณาโครงการที่วงเงินต่ำกว่า 5 แสนบาท เพื่อไม่ให้เม็ดเงินเกิดการรั่วไหล เหมือนที่หลายฝ่ายกังวล
“วงเงิน 1.57 แสนล้าน ไม่จำเป็นต้องพิจารณาใช้เป็นงบลงทุนทั้งหมดก็ได้ สุดท้ายหากจัดสรรโครงการไม่ครบทั้งหมด ก็จะมีกลไกนำงบประมาณดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ”นายจุลพันธ์ กล่าว
โดยขณะนี้ยังมีเวลาพิจารณาโครงการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างรอบคอบ เนื่องจากประเมินว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจจะเริ่มขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 เมื่อมาตรการภาษีของสหรัฐจะมีความชัดเจนและคลี่คลายมากขึ้น ซึ่งขณะนี้มีข่าวดีแล้วว่าไทยจะได้เจรจากับสหรัฐอย่างเป็นทางการแล้ว ซึ่งถ้าเป็นไปได้ด้วยดี ผลกระทบทางเศรษฐกิจก็จะเบาบางลง อย่างไรก็ตาม ภาษีศุลกากรพื้นฐานที่สหรัฐจะเก็บทุกประเทศ 10% น่าจะยังคงอยู่ แต่ขอให้ไทยไม่เสียเปรียบประเทศคู่ค้าและประเทศคู่แข่ง