ช็อคค่ายรถในไทยอีก ปีชงขายรถใหม่ทั้งปีไม่ถึง 6 แสนคัน สินเชื่อเช่าซื้อรถปีนี้ดิ่งเหวหนัก 14 เท่า

ช็อคค่ายรถในไทยอีก ปีชงขายรถใหม่ทั้งปีไม่ถึง 6 แสนคัน สินเชื่อ เช่าซื้อ รถ ปีนี้ดิ่งเหวหนัก 14 เท่า

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ครึ่งแรกของปี 2567 สินเชื่อเช่าซื้อยานยนต์หดตัว 6.2% เทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา จากข้อมูลธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในไทย ตามฐานข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดเช่าซื้อฯ ในภาพรวมประมาณ 65% หรือประมาณ 2 ใน 3 ของระบบนั้น พบว่า สินเชื่อเช่าซื้อฯ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2/2567 หดตัว 6.2% จากระยะเดียวกันของปีก่อน ซึ่งหดตัวลึกลงจากไตรมาสแรกที่หดตัว 3.0% จากระยะเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ยอดคงค้างสินเชื่อเช่าซื้อฯ ลดลงจาก ณ สิ้นปี 2566 ประมาณ 57,700 ล้านบาท

สาเหตุหลักมาจากการชำระคืนหนี้ตามงวดผ่อนชำระของยอดสินเชื่อเดิมในอัตราที่เร็วกว่ายอดจัดสินเชื่อใหม่ที่คาดว่าจะลดลงตามยอดขายรถใหม่ที่หดตัว 24.2% ในครึ่งปีแรก ประกอบกับน่าจะมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากปัญหาด้านรายได้และกำลังซื้อ รวมถึงนโยบายเครดิตที่ระมัดระวังของผู้ให้บริการสินเชื่อในภาพรวม ท่ามกลางสภาวะที่ปัญหาคุณภาพหนี้สะท้อนจากสินเชื่อ Stage 2 ของสินเชื่อเช่าซื้อรถฯ ที่เพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขสองหลัก และสูงกว่าสินเชื่อรายย่อยประเภทอื่นๆ เช่น สินเชื่อบ้าน บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า สินเชื่อเช่าซื้อฯ จะหดตัว 5.5% ณ สิ้นปี 2567 ซึ่งเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่สอง จากที่หดตัว 0.4% ในปี 2566 และต่ำกว่าประมาณการเดิมที่คาดไว้ที่ขยายตัว 1.0-2.0% ค่อนข้างมาก สอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ใหม่ในปีนี้ที่คาดว่าจะลดลงจากสมมติฐานเดิม มาอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 600,000 คัน

3 ประเด็นกดดันสินเชื่อเช่าซื้อฯ ที่น่าจะยังไม่คลี่คลายโดยเร็ว

1. ผลบวกจากยอดขายรถ BEV ต่อสินเชื่อเช่าซื้อฯ ปีนี้มีจำกัด โดยแม้ในปี 2567 ยอดขายรถ BEV จะเป็นตัวแปรสำคัญในการช่วยดันยอดขายรถในภาพรวมด้วยส่วนแบ่งต่อยอดขายรวมที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 11.7% เทียบกับ 9.5% ในปี 2566 อย่างไรก็ตาม การตีตลาดของรถ BEV จากค่ายรถต่างประเทศที่ราคาต่ำลง ทำให้ผู้ซื้อบางส่วนเลื่อนการตัดสินใจซื้อรถใหม่ออกไป ทำให้สินเชื่อเช่าซื้อฯ ไม่ได้อานิสงส์จากยอดขายรถ BEV มากดังที่ควรจะเป็น

2. ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงและปัญหาคุณภาพหนี้ เป็นเงื่อนไขหลักที่ทำให้เกิดการชะลอตัวทั้งฝั่งความต้องการซื้อรถและความต้องการปล่อยสินเชื่อจากผู้ให้บริการสินเชื่อ ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2/2567 สัดส่วนสินเชื่อ Stage 2 และ NPL ต่อสินเชื่อเช่าซื้อรวม ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 17.35% โดยเป็นการเร่งตัวขึ้นทั้งในส่วนของสัดส่วนสินเชื่อ Stage 2 มาที่ 15.09% และสัดส่วน NPL มาที่ 2.26% จากสัดส่วนสินเชื่อ Stage 2 ที่ 14.49% และสัดส่วน NPL ที่ 2.14% ในไตรมาสแรกตามลำดับ

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า สัดส่วนสินเชื่อ Stage 2 และ NPL ต่อสินเชื่อเช่าซื้อรวม มีโอกาสขยับเข้าหาระดับ 18% ในช่วงสิ้นปี 2567 เทียบกับ 17.35% ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 เนื่องจากสถานการณ์รายได้ในภาพรวมของกลุ่มลูกหนี้รายย่อย ยังน่าจะไม่ดีขึ้น สวนทางกับภาระค่าใช้จ่าย หรือภาระการชำระหนี้ที่ยังอยู่ในระดับสูง

ข้อสังเกตเพิ่มเติม คือ การก่อหนี้รถไม่ใช่หนี้ประเภทเดียวที่ผู้กู้มีในปัจจุบัน ผู้กู้จึงอ่อนไหวต่อเหตุการณ์ไม่คาดคิดมากขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ และอาจทำให้สถานการณ์ยึดรถยังน่าจะอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ทั้งนี้ จากแบบสอบถามของศูนย์วิจัยกสิกรไทยในช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2567 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ที่มีสินเชื่อเช่าซื้อฯ มักมีหนี้มากกว่า 1 ประเภท โดยเฉลี่ยแล้วมีหนี้อยู่ประมาณ 2.66 ผลิตภัณฑ์ และประมาณ 19.0% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีสินเชื่อเช่าซื้อฯ เป็นผู้ที่น่าจะเคยมีปัญหาการชำระหนี้ เพราะเคยผ่านการปรับโครงสร้างหนี้มาแล้ว

3. มาตรการดูแลการปล่อยสินเชื่อ อาทิ มาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ซึ่งในกรณีของสินเชื่อใหม่ ผู้ให้บริการโดยเฉพาะสถาบันการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ธปท. จะต้องคำนึงถึงรายได้คงเหลือจากการชำระหนี้ในแต่ละเดือน ให้มีเพียงพอต่อการดำรงชีพ ขณะที่ในกรณีของลูกหนี้ที่มีสัญญาณว่าจะมีปัญหาและไม่เคยปรับโครงสร้างหนี้มาก่อน ผู้ให้บริการจะต้องเสนอแผนปรับโครงสร้างหนี้ 2 ครั้งตามแนวทางที่กำหนด ซึ่งแม้จะดีกับลูกหนี้ แต่ก็เพิ่มกระบวนการให้กับผู้ให้บริการ นอกจากนี้สินเชื่อเช่าซื้อที่ผ่านกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ที่ทยอยเพิ่มสูงขึ้น ก็เป็นสัญญาณเตือนให้สถาบันการเงินต้องเพิ่มความระมัดระวังต่อความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับปัญหาคุณภาพหนี้ในระยะข้างหน้า

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles