นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอ บริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ และอดีตประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO โพสต์ข้อความเกี่ยวกับภาวะตลาดหุ้นไทย มีดังนี้
เอาไงดี ตลาดหุ้นไทย ปี 2566 SET Index ติดลบ 15% อยู่อันดับเกือบท้ายสุดของโลก ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นโลก (MSCI All Country World Index) พุ่งขึ้น 20% ปี 2567 ผ่านไป 5 เดือนกว่า SET Index ติดลบไปแล้ว 8% ในขณะที่ตลาดหุ้นโลกปรับขึ้นอีก 10% ถ้านับจากต้นปี 2566 จนถึงวันนี้ SET Index ปรับลดลงไปราว 370 จุด อยู่อันดับท้ายสุดของโลก และให้ผลตอบแทนแย่กว่า (Underperformed) ตลาดหุ้นโลกกว่า 50%
เกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นไทย ปัจจัยหลักกดดันตลาดหุ้นไทยคือ ความอ่อนแอของเศรษฐกิจไทย ที่ขยายตัวต่ำกว่า 2% ติดต่อกันสี่ไตรมาส และผลประกอบการที่แย่ของบริษัทจดทะเบียนไทย ที่กำไรสุทธิลดลง 11% ในปีที่ผ่านมา และขยายตัวไม่ถึง 2% ในไตรมาสแรกของปีนี้
การเมืองคืออีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจ โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านสถานะของนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพและสูญญากาศทางการเมือง
ความพยายามในการสร้าง Trust and Confidence ในตลาดทุน ก็ยังทำได้ไม่มีประสิทธิภาพพอ นักลงทุนส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ Program Trading และ Short-Sell ทั้งที่ความเข้มงวดในการกำกับดูแลสองเรื่องนี้ของไทย เทียบเท่ามาตรฐานโลก และหลายมาตรการที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ เข้มงวดกว่าหลายตลาดหุ้นพัฒนาแล้วด้วยซ้ำ
ปัญหาทั้งหมดนี้สะท้อนในดัชนี SET Index ที่ตกต่ำที่สุดในรอบกว่า 4 ปี และมูลค่าตลาดหายไปมากกว่า 4 ล้านล้านบาท จากระดับสูงสุด
แล้วทิศทางตลาดหุ้นไทย จะเป็นอย่างไรต่อไป ในระยะสั้น ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสรีบาวน์ เพราะทั้งเศรษฐกิจไทยและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนเริ่มมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้น ตัวช่วยสำคัญคือ ทิศทางดอกเบี้ยโลกที่เริ่มกลับสู่ขาลง ซึ่งนอกจากจะสนับสนุนการเติบโตของกิจกรรมเศรษฐกิจ ยังช่วยเพิ่มความน่าสนใจของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นเกิดใหม่ ที่มักได้อานิสงส์เงินทุนไหลเข้าช่วงดอกเบี้ยโลกขาลง ที่ผ่านมา ธนาคารกลางหลายแห่ง เช่น ยุโรป แคนาดา สวีเดน เริ่มลดดอกเบี้ยแล้ว และเชื่อว่าอีกหลายธนาคารกลาง รวมทั้งเฟด กำลังเตรียมลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง
อีกตัวช่วยสำคัญ นอกจากท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้ดี คือทิศทางการค้าโลกที่เริ่มกลับสู่ขาขึ้น และ WTO คาดการณ์ว่าจะอยู่ในขาขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ซึ่งจะช่วยเศรษฐกิจไทยได้มาก เพราะส่งออกยังเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของไทย ยังมีเม็ดเงินจากงบประมาณภาครัฐที่คาดว่าจะเร่งเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะงบประมาณด้านการลงทุนของปี 2567 ที่ยังเหลืออยู่อีก 500,000 กว่าล้านบาท ถ้าเร่งเบิกจ่ายได้ทั้งหมดในปีนี้ ก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากเช่นกัน
ในด้านผลประกอบการ คาดว่ากำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนไทยจะขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้นในครึ่งปีหลัง และขยายตัวได้ 13% ตลอดทั้งปีนี้ ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้น และฐานกำไรที่ต่ำในปีที่แล้ว
อีกปัจจัยบวก คือ Valuations ของตลาดหุ้นไทย ที่ต่ำกว่ามูลค่าทางทฤษฎีไม่ว่าจะใช้วิธีไหนในการประเมิน สะท้อนชัดเจนในระดับ Forward P/E ในปัจจุบันที่ 13.5 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 16 เท่า แต่ SET Index จะฟื้นได้แรงแค่ไหนขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนให้กลับขึ้นมาได้มากน้อยแค่ไหน
อย่างแรกสุด รัฐบาลต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3% ต่อปีตลอดอายุรัฐบาล โดยอาจเริ่มต้นด้วยการปรับปรุงนโยบายเศรษฐกิจให้ตอบโจทย์ทั้งระยะสั้นและระยะยาวและเป็นที่ยอมรับ รวมถึงอัพเดทความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้นักลงทุนสามารถติดตามและประเมินผลงานได้อย่างใกล้ชิด และต้องเร่งกู้ Trust and Confidence ให้กลับคืนมาโดยเร็ว ผ่านการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับข้อกังวลต่างๆ ของนักลงทุน รวมทั้งบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและรวดเร็ว
นอกจากนั้น รัฐบาลต้องไม่รีรอที่จะเพิ่มกำลังซื้อในตลาดหุ้นไทย ผ่านการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบกองทุน LTF แบบเดิม หรือปรับรูปแบบกองทุน TESG ให้มีวงเงินสูงขึ้นและระยะเวลาลงทุนสั้นลง เพื่อสร้าง Impact ต่อตลาดหุ้นให้ได้มากและเร็วที่สุด
ผลพลอยได้จากตลาดหุ้นขาขึ้นคือ กำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจที่สูงขึ้นตาม และยิ่ง Wealth Effect เพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งส่งผลทวีคูณต่อระบบเศรษฐกิจมากขึ้นเท่านั้น ที่สำคัญ ผลที่ได้อาจแรงกว่าการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ๆ ด้วยซ้ำ และดีกว่าตรงที่รัฐบาลแทบไม่ต้องใช้เงินจากงบประมาณเลย
ปัจจัยการเมืองยังยากที่จะคาดการณ์ แต่เชื่อว่านักลงทุนจะกล้ามองข้ามความเสี่ยงด้านการเมือง ถ้าปัจจัยด้านอื่นเป็นไปตามที่ผมได้กล่าวไว้ข้างต้น แน่นอน ปัญหาระยะยาวของตลาดหุ้นไทยยังมีอีกมากที่ต้องได้รับการแก้ไข แต่โจทย์เร่งด่วนสำหรับรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดในเวลานี้คือ กู้วิกฤติศรัทธาในตลาดหุ้นไทยให้กลับคืนมาโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ซึ่งเป็นสำนักข่าวเศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน ชื่อดังและน่าเชื่อถือระดับโลก รายงานว่ามูลค่าตลาดหุ้นไทยเสียหายมากถึง 180,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 6.6 ล้านล้านบาท นับตั้งแต่มูลค่าตลาดหุ้นไทยมีจุดสูงสุดในปี 2023 ผ่านมา