ซีไอเอ็มบี ไทย คาดประชุม กนง. นัดหน้ามีโอกาสลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% พยุงเศรษฐกิจ ชี้หากคงอัตราเดิมจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย

ซีไอเอ็มบี ไทย คาดประชุม กนง.นัดหน้ามีโอกาสลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% พยุงเศรษฐกิจ ชี้หากคงอัตราเดิมจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. จะประชุมในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ได้ลดจากระดับสูงสุดที่ 2.50% สู่ระดับ 2.25% ในรอบการประชุมเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ก่อนจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2.25% ในรอบการประชุมครั้งล่าสุดในเดือนธันวาคม

โดยปัจจัยสำคัญที่ตีความได้จากการที่กนง.คงอัตราดอกเบี้ยคราวก่อนก็ด้วยการรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย หรือเก็บ policy space ไว้เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อยามจำเป็นและตลาดมีความชัดเจน ไม่สับสนจากมาตรการการค้าโลกที่ยังไม่แน่นอน ซึ่งหากทำไปล่วงหน้าแล้ว นโยบายการเงินอาจมีประสิทธิภาพด้อยลง ขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและทิศทางอัตราเงินเฟ้อน่าจะขยับเข้ากรอบเป้าหมายของ ธปท. ในอนาคต แต่เมื่อเวลาผ่านไปราวเดือนเศษ เศรษฐกิจดูเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและมีความเสี่ยงขาลงมากขึ้น เราจึงมองว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ทางกนง.จะตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% สู่ระดับ 2.00% ในรอบการประชุมที่จะถึงนี้

ส่วนปัจจัยสนับสนุนลดดอกเบี้ยรอบนี้ ตนคาดว่าทาง กนง. จะพิจารณาถึงความเสี่ยงขาลงที่มากขึ้นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในรอบนี้ ซึ่งได้แก่

1. เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าคาด หลัง GDP ไทยขยายตัวต่ำเพียง 2.5% ในปี 2567 และมีความไม่แน่นอนด้านกำลังซื้อแม้มีมาตรการภาครัฐกระตุ้น

2. เงินเฟ้อเสี่ยงไม่ถึงกรอบล่างที่ 1% ทั้งจากกำลังซื้อคนในประเทศที่ยังอ่อนแอจนผู้ประกอบการไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่ขยับสูงขึ้นให้ผู้บริโภคได้ และจากทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ลดลง

3. กำลังซื้อครัวเรือนรายได้น้อยและ SMEs อ่อนแอ

4. ป้องกันความเสี่ยงจากสงครามการค้า

5. พยุงค่าเงินบาทให้อ่อนค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐ

โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ย น่าจะเป็นการพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดตัวไปมากกว่านี้ หรือพยายามรักษาระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจเทียบไตรมาสต่อไตรมาสให้ทรงตัวไม่ปรับลดลง ขณะที่การเติบโตของสินเชื่อในปีนี้อาจขยายตัวต่ำในช่วงแรกแม้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องด้วยความเสี่ยงด้านเครดิตยังสูง จากเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวช้าและไม่กระจายตัวดีเท่าที่ควร ซึ่งปัญหาเหล่านี้ยังกดดันการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ให้เข้มงวดต่อไป โดยเฉพาะต่อสินเชื่อที่อยู่อาศัยและเช่าซื้อ ขณะที่สินเชื่อกลุ่ม SMEs ยังคงหดตัวได้อยู่ในช่วงครึ่งปีแรก

ซึ่งเราคาดหวังมาตรการทางการคลัง ทั้งการก่อสร้าง การจ้างงาน และการลดค่าครองชีพต่างๆ มาช่วงพยุงกำลังซื้อในกลุ่มล่างนี้ เนื่องด้วยจะหวังพึ่งมาตรการทางการเงินอย่างเดียวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจคงไม่ได้ อีกทั้งอาจมีความเสี่ยงด้านกับดักสภาพคล่อง หรือการที่สินเชื่อไม่ขยายตัวแม้ลดดอกเบี้ยด้วยจากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจ จึงต้องมีการประสานของหลากหลายนโยบายเข้าด้วยกันเพื่อเร่งความเชื่อมั่น

ส่วนที่มีความกังวลว่าไทยจะลดอัตราดอกเบี้ยก่อนธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้หรือไม่นั้นเรามองว่า ธปท.สามารถดำเนินนโยบายการเงินได้อย่างมีอิสระจากธนาคารกลางสำคัญเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ แม้อาจต้องพิจารณาผลกระทบด้านความผันผวนของทุนเคลื่อนย้ายบ้าง แต่น่าอาศัยเครื่องมือบริหารความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่ธนาคารพาณิชย์มีอยู่ในการดูแลลูกค้าและนักลงทุน ทั้งนี้เราคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยรอบ 18-19 มีนาคม และอาจลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในรอบ 17-18 มิถุนายน และ 9-10 ธันวาคม สู่ระดับ 4.00% ในปีนี้

ส่วน กนง. น่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 1.50% ในช่วงปลายปีนี้ โดย กนง. เหลือการประชุมอีก 5 นัด คือ 30 เมษายน (คงเพื่อรอดูความชัดเจนและประสิทธิผลของการลดดอกเบี้ยที่เราคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์) 25 มิถุนายน (ลดเหลือ 1.75% หลัง GDP 1Q25 ที่สภาพัฒน์ฯ  จะรายงานวันที่ 19 พฤษภาคม ออกมาต่ำกว่าคาด) 13 สิงหาคม (ลดเหลือ 1.50% เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจหลังสงครามการค้าชัดเจนว่าไทยได้รับผลกระทบผ่านการส่งออกที่โตต่ำลง) 8 ตุลาคม (คง) และ 17 ธันวาคม (คง)

หลายสำนักคาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ ซึ่งในความเป็นจริงก็น่าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด เนื่องจากยังไม่มีสัญญาณใดๆ จาก ธปท. ถึงความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีกทั้งยังมีการย้ำถึงการรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายหรือเก็บกระสุนไว้ใช้ยามจำเป็น แต่ที่ผมมองต่าง และมองว่า กนง. น่าจะทบทวนปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนไปจากการประชุมครั้งก่อน และจากทิศทางตัวเลขเศรษฐกิจและตลาดการเงินในอนาคต จนน่าจะสนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในรอบเดือนกุมภาพันธ์นี้ อีกทั้งหากไม่ได้ปรับลดในรอบนี้ นักวิเคราะห์ในตลาดการเงินส่วนใหญ่ก็มองว่ามีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยในรอบการประชุมหน้าในเดือนเมษายนอยู่แล้ว ตนจึงมองว่าการปรับลดก่อนน่าจะสร้างความเชื่อมั่นและมีผลต่อเศรษฐกิจมากกว่า

ทั้งนี้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจไม่เห็นผลชัดเจนในช่วงหนึ่งถึงสองเดือน แม้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจาก ธปท. จะส่งผ่านถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในเวลาไม่นาน แต่กว่าการลดอัตราดอกเบี้ยจะสร้างแรงจูงใจให้คนมาลงทุนเพิ่มขึ้น เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ เกิดการผลิตสินค้าและบริการ จนเกิดเงินหมุนเวียนผ่านการบริโภคที่เพิ่มขึ้น หรือส่งผ่านกลไกอัตราแลกเปลี่ยนและราคาสินค้าต่างๆ ยังต้องใช้เวลาราว 6-12 เดือน ซึ่งก็อาจเห็นผลทางเศรษฐกิจมากขึ้นในช่วงปลายไตรมาสสามถึงไตรมาสสี่ หรือในช่วงที่ตนคาดว่าเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวมากขึ้น อย่างน้อยก็พอป้องกันไม่ให้ไถลลงลึกหรือพอประคองการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้บ้าง เพราะหากรอนานเกินไปจนทุกอย่างสุกงอมมีความชัดเจน แม้จะดูเหมือนปลอดภัยในการดำเนินนโยบายการเงิน แต่ก็อาจทำให้เราขาดโอกาสในการป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำต่อเนื่องลากยาวได้

สุดท้ายนโยบายการเงินไม่ใช่พระเอก แต่ต้องเป็นการประสานกับนโยบายการคลังที่ดูแลด้านความเหลื่อมล้ำและมาตรการอื่นๆ ในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เพื่อฟื้นเศรษฐกิจไทยในปีนี้และยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้สูงขึ้นในระยะยาวอย่างยั่งยืน

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles