ดัชนีหุ้นล่วงหน้า(Future) ดาวโจนส์ สหรัฐ ดำดิ่งหนักกว่า -600 จุด หลังรัฐบาลจีนประกาศเก็บภาษีสูง 34% กับสินค้าสหรัฐมีผล 10 เมษายน

ดัชนี หุ้น ล่วงหน้า(Future) ดาวโจนส์ สหรัฐ ดำดิ่งหนักกว่า -600 จุด หลังรัฐบาลจีนประกาศเก็บภาษีสูง 34% กับสินค้าสหรัฐมีผล 10 เมษายน

ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่าวันนี้ 4 เมษายน 2025 เมื่อเวลา 6.25 น. ตามเวลาในนิวยอร์ก ซึ่งตรงกับเวลา 17.25 น. ของไทย พบว่า ดัชนีหุ้นล่วงหน้า หรือ Future ของ ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดอยู่ระดับ 40,169 จุด -607 จุด หรือ -1.49% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 5,364 จุด -68 จุด หรือ -1.27% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 16,465 จุด -210 จุด หรือ -1.12%

สาเหตุจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประเทศจีน แถลงประกาศใช้มาตรการอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 34% กับสินค้าทุกชนิดที่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นการตอบโต้หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ประกาศขึ้นภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprocal Tariifs สูงถึง 34% กับสินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีนทั้งนี้มาตรการตอบโต้ของกระทรวงการคลังจีนจะมีผลตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2025 เป็นต้นไป

ย้อนกลับไปในคืนวันที่ 3 เมษายน 2025 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 40,454 จุด -1,679 จุด หรือ -3.98% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,396 จุด -274 จุด หรือ -4.84% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 16,550 จุด -1,050 จุด หรือ -5.97% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติดำดิ่งเหวใน 1 วันเลวร้ายสุดในรอบ 4 ปี 9 เดือน หรือตั้งแต่มิถุนายนปี 2020 หรือตั้งแต่วิกฤตโรคระบาดโควิด-19

นอกจากนี้ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ยังทำสถิติปิดต่ำสุดตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ ชะนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 หรือในรอบ เกือบ 5 เดือน ส่วนดัชนีหุ้นนาสแดค ทำสถิติดำดิ่งเหวใน 1 วันเลวร้ายสุดในรอบ 5 ปี หรือตั้งแต่มีนาคมปี 2020 หรือตั้งแต่วิกฤตโรคระบาดโควิด-19

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มี 400 บริษัท หรือ 80% จากทั้งหมด 500 บริษัทในดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ที่ปิดตลาดด้วยราคาลดลง ส่งผลให้มูลค่าตลาดของดัชนีหุ้นดังกล่าวเสียหายถึงเกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 69 ล้านล้านบาทภายในวันเดียว นอกจากนี้ ยังสร้างความเสียหายเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าในปีนี้ เนื่องจากในคืนผ่านมา มูลค่าตลาดเสียหายถึง 1.92 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 66.24 ล้านล้านบาท เปรียบเทียบกับมูลค่าตลาดดัชนีหุ้นดังกล่าวที่เสียหายไปแล้วถึง 1.75 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 60.38 ล้านล้านบาทตั้งแต่ต้นปี 2025 นี้

ที่สำคัญยังทำให้ดัชนีหุ้นดังกล่าวดำดิ่งแรงถึง -12% จากสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ ทำให้เข้าสู่ภาวะปรับฐานเป็นทางการ หรือ Correction อีกด้วย เนื่องจากดำดิ่งหนักเกินกว่า -10% จากสถิติปิดนิวไฮ นอกจากนี้ ดัชนีหุ้นรัสเซลล์ 2000 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นในกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีของสหรัฐอเมริกา ปิดดำดิ่งรุนแรงมากถึง -6.5% ทำสถิติปิดดำดิ่งลงเหวใน 1 วันที่เลวร้ายสุดในรอบ 4 ปี 9 เดือน หรือตั้งแต่ 11 มิถุนายนปี 2020 หรือตั้งแต่วิกฤตโรคระบาดโควิด-19

ที่สำคัญส่งผลให้ดัชนีหุ้นดังกล่าวปิดดำดิ่งเลวร้ายถึงกว่า -21% เข้าสู่ภาวะตลาดหมีสมบูรณ์แบบ หรือภาวะ Bear Market เนื่องจากดัชนีหุ้นรัสเซลล์ 2000 ปิดดำดิ่งเกินกว่า -20% จากสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2024

สาเหตุจากประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจัดเก็บภาษีต่างตอบแทน หรือ Reciprocal Tariffs กับ 185 ประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ 10% ถึง 50% มีผลในวันที่ 5 เมษายนเป็นต้นไป ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา ซึ่งอัตราเก็บภาษีดังกล่าวสูงเกินคาดหมายมากกับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่หลายแห่งของโลก

นักวิเคราะห์มองว่าทรัมป์จะใช้อัตราภาษีดังกล่าวเพียง 10% หรือเลวร้ายสุดที่ 20% เป็นเพดานสูงสุดในการจัดเก็บ แต่ผลกลับออกมาช็อคเกินคาดการณ์มาก เช่น จีนถูกเก็บภาษีรวมสุทธิถึง 54% จากเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2025 ถูกจัดเก็บภาษีสูงขึ้น 20% และภาษีต่างตอบแทนอีก 34% เป็นต้น

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles