ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทย ปรับตัวลงแรงช่วงต้นสัปดาห์ท่ามกลางความกังวลต่อเนื่องเกี่ยวกับประเด็นสงครามการค้า หลังมีรายงานข่าวว่าสหรัฐฯ ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากทุกประเทศ อย่างไรก็ดีดัชนีหุ้นไทยดีดตัวขึ้นในเวลาต่อมา เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลบางส่วนต่อประเด็นการเรียกเก็บภาษีข้างต้นหลังประเมินว่าไทยน่าจะได้รับผลกระทบในกรอบจำกัด ประกอบกับมีปัจจัยบวกจากประเด็นข่าวที่ว่ากระทรวงการคลังมีแนวคิดจะปรับปรุงเงื่อนไขกองทุน LTF เพื่อพยุงตลาดหุ้นไทย รวมถึงแรงซื้อหุ้นบิ๊กแคป โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี
ดัชนีหุ้นไทยพลิกร่วงอีกครั้งในช่วงท้ายสัปดาห์ โดยเผชิญแรงกดดันจากแรงขายหุ้นบิ๊กแคป โดยเฉพาะหุ้นผู้ประกอบธุรกิจท่าอากาศยานจากผลประกอบการไตรมาสล่าสุดออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ ประกอบกับบรรยากาศยังคงถูกดดันจากความไม่แน่นอนของประเด็นสงครามการค้าโดยเฉพาะการที่สหรัฐฯ เตรียมเดินหน้าเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) จากทุกประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ
ในวันศุกร์ที่ 14 ก.พ. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,272.10 จุด ลดลง 0.78% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 46,399.60 ล้านบาท ลดลง 4.98% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 0.72% มาปิดที่ระดับ 260.54 จุด
สำหรับสัปดาห์นี้ (17-21 ก.พ. 68) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,250 และ 1,235 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,300 และ 1,310 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2567 ของไทย ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน ยอดขายบ้านมือสอง เดือนม.ค. ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนก.พ. (เบื้องต้น) บันทึกการประชุมเฟด รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2567 ของญี่ปุ่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR เดือนก.พ. ของจีน ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนม.ค. ของญี่ปุ่น ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนก.พ. (เบื้องต้น) ของญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษ