นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่าผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 86.6 ปรับตัวลดลงจาก 87.7 ในเดือนมิถุนายน 2568 ต่ำสุดในรอบ3ปี ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์ข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการค้าชายแดน โดยในเดือนมิถุนายน 2568 มีมูลค่าการค้ารวม 10,907.53 ล้านบาท ลดลง 32.29% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2568 และลดลง 23.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนรวมทั้ง สถานการณ์อุทกภัยและน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ภาคเหนือ เช่น จังหวัดน่านและเชียงราย ยังสร้างความเสียหายต่อชุมชน บ้านเรือน และโรงงานอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ความกังวลต่อการจัดเก็บภาษี Reciprocal Tariff ในอัตรา 36% (ซึ่งมีผลบังคับใช้วันที่ 1 สิงหาคม 2568) ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย
โดยความกังวลต่อการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ที่อาจเกิดความล่าช้า ตลอดจนการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 และงบกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.15 แสนล้านบาท ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ขณะที่กำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในหมวดสินค้าคงทน เช่น เครื่องปรับอากาศและเครื่องจักรกล ส่งผลให้ภาคการบริโภคภายในประเทศเผชิญกับแรงกดดันเพิ่มเติม แต่ก็มีปัจจัยบวกจากโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568” จำนวน 500,000 สิทธิ์ ภายใต้งบประมาณ 1,750 ล้านบาท (เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568) และการลงทุนมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรก 2568 มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 1.06 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 138% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการลงทุน ยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจ และเพิ่มการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม อีกทั้ง ราคาน้ำมันที่ทรงตัว ยังมีส่วนช่วยลดต้นทุนให้แก่ผู้ประกอบการ
ด้าน ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานสายงานเศรษฐกิจและวิชาการ กล่าวว่าจากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,356 ราย ครอบคลุม 47 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในเดือนกรกฎาคม 2568 พบว่า ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศ 70.1% เศรษฐกิจโลก 66.7% นโยบายภาครัฐ 57.2% อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) 44.9% ราคาพลังงาน 35.5% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 27.1% ส่วนปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ การเข้าถึงสินเชื่อ 42.3%
ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเช่นกัน อยู่ที่ระดับ 89.2 ลดลงจาก 90.8 ในเดือนมิถุนายน 2568 เนื่องจากผลการเจรจาภาษี Reciprocal Tariff กับสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันและข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชาที่ยืดเยื้อยังคงส่งผลกระทบต่อมูลค่าการค้าชายแดน ซึ่งขณะนี้สหรัฐฯกำหนดภาษี Reciprocal Tariffไทยอยู่ที่ 19%ใกล้เคียงประเทศเพื่อนบ้าน เชื่อความประเด็นภาษี Reciprocal Tariff จะดีขึ้นในการประกาศดัชนีความเชื่อมั่นอุตฯเดือนสิงหาคม 2568
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่คาดว่าจะช่วยประคับประคองสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ได้แก่ มาตรการตรึงราคาพลังงาน โดยค่าไฟฟ้างวดเดือนกันยายน–ธันวาคม 2568 คงอยู่ที่ 3.94 บาทต่อหน่วย รวมถึงมาตรการส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ซึ่งช่วยลดต้นทุนผู้ประกอบการและสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด อีกทั้งมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย (เริ่ม 1 ตุลาคม 2568) ที่จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน