นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่า กระทรวงดีอีเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 เพื่อเพิ่มความเข้มข้นในการจัดการกับปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ประเด็นสำคัญ คือ การเชื่อมโยงถึงธุรกรรมที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล, การเพิ่มโทษ, การเยียวยา และ การกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์กับโอเปอเรเตอร์มีส่วนรับผิดชอบ
พร้อมทั้งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันการฟอกเงิน (ป.ป.ง) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สมาคมธนาคารไทย ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ เพื่อกำหนดมาตรการทั้งในทางปฏิบัติและกฎหมาย
สำหรับ ร่างแก้ไข พ.ร.ก. ยังไม่ได้ระบุเรื่องวงเงินความเสียหาย เพราะเป็นรายละเอียดปลีกย่อย ร่างกฎหมายเขียนเรื่องหลักการก่อน เน้นการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบต้องมีมาตรการป้องกันที่รัดกุม หากไม่มีมาตรการ จะต้องมีส่วนรับผิดชอบ ร่างฯ จะมีกลไกปิดช่องโหว่ ทั้งการยืนยันตัวตน การส่งข้อความ SMS ที่จะต้องระบุชื่อผู้ส่งให้ชัดเจน และต้องลงทะเบียนกับโอเปอเรเตอร์ หากไม่ปฏิบัติตามก็ไม่ต้องขึ้นศาลฯ ก็ได้ เพราะมีระเบียบกำหนดไว้อยู่แล้ว
ส่วนการแก้ไขปัญหาที่ประสานกับต่างประเทศ ได้พูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเมียนมา และกัมพูชา โดยมีการทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายปฏิบัติการ และฝ่ายความมั่นคง ทั้งตำรวจ-ทหาร การทำงานร่วมกันของฝ่ายนโยบาย คือกระทรวงดิจิทัลฯ ที่ได้พูดคุยกับทางกัมพูชาด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นดูเวลาและจังหวะที่เหมาะสม คงจะต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ขณะที่การปิดช่องโหว่ทางเทคนิคด้านการสื่อสาร เนื่องจากมิจฉาชีพได้ใช้ดาวเทียมแบบวงโคจรต่ำ เช่น Starlink ที่เข้าไปยิงสัญญาณอินเทอร์เน็ต นับเป็นปัญหาแต่ได้มีการตามจับอยู่ตลอด ส่วนเรื่องสายสัญญาณก็มีการตรวจสอบอยู่ตลอด ซึ่งตนได้พูดคุยกับ กสทช. และจะมีการปฏิบัติการทุกเดือน มาตการที่เกี่ยวกับสถาบันการเงิน ที่มีการเสนอทั้งการเยียวยาผู้ที่ถูกหลอก และการหน่วงเวลาในการโอนเงิน เป็นเรื่องที่มีข้อเสนอมาจากหลายฝ่ายที่ต้องการให้เกิดขึ้น โดยตนจะนำเรื่องนี้ไปหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยต่อไป
