ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ลงทุน 1.39 พันล้านบาท ปักธงคลังสินค้าแห่งแรกที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100%

ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ประเทศไทย ได้เปิดตัว Bangna Sustainable Logistics Center อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นคลังสินค้าแห่งแรกของดีเอชแอล ซัพพลายเชนทั่วโลกที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% จากระบบโซลาร์เซลล์ที่ติดตั้งในพื้นที่ ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ที่ยั่งยืนในภูมิภาค คลังสินค้านี้นี้มีมูลค่าการลงทุน 1.39 พันล้านบาท (35 ล้านยูโร) และยกระดับมาตรฐานใหม่ในการดำเนินงานของดีเอชแอล ซัพพลายเชน ในอนาคต

คลังสินค้านี้ดำเนินการด้วยพลังงานหมุนเวียนที่ผลิตในพื้นที่ทั้งหมด โดยติดตั้งระบบแผงโซลาร์เซลล์ขนาด 4.2 เมกะวัตต์พีค ครอบคลุมพื้นที่ 24,000 ตารางเมตร (เทียบเท่ากับ 3 สนามฟุตบอลมาตรฐาน) พร้อมระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ขนาด 10 เมกะวัตต์ชั่วโมง และระบบบริหารจัดการพลังงานอัจฉริยะ

คลังสินค้าแห่งนี้ติดตั้งอุปกรณ์ที่ช่วยประหยัดการใช้น้ำ ระบบทำความเย็นที่มีประสิทธิภาพสูง หลังคาโปร่งแสงธรรมชาติ รวมถึงการดำเนินงานที่ใช้รถยกสินค้าที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน พร้อมทั้งการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน และระบบบริหารจัดการขยะอย่างครอบคลุม เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด

“การเปิดตัว Bangna Sustainable Logistics Center นี้ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับดีเอชแอล ซัพพลายเชน และอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ซึ่งคลังสินค้าพลังงานหมุนเวียน 100% แห่งแรกของดีเอชแอล ซัพพลายเชนทั่วโลกที่สร้างขึ้นในประเทศไทยนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์สีเขียวที่เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของลูกค้า

คลังสินค้าแห่งนี้นับเป็นก้าวสำคัญที่เป็นรูปธรรมเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593 การลงทุนในพลังงานหมุนเวียน และโซลูชันการขนส่งที่ปล่อยคาร์บอนต่ำและปลอดคาร์บอนนี้ เป็นรากฐานสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถมอบโซลูชันโลจิสติกส์ที่ยั่งยืนให้แก่ลูกค้า บริการ GoGreen Plus ของเราช่วยให้ลูกค้าสามารถลดคาร์บอนในซัพพลายเชนของตนเอง และติดตามความคืบหน้าที่วัดผลได้อย่างชัดเจนสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน เราไม่เพียงตอบสนองต่อความต้องการของอนาคตโลว์คาร์บอน แต่เรากำลังเป็นผู้สร้างสรรค์อนาคตนั้น

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่สำคัญในการเติบโตสำหรับดีเอชแอล กรุ๊ป และการลงทุนของเราสะท้อนถึงความเชื่อมั่นนี้ เรามุ่งมั่นที่จะช่วยให้ลูกค้าขยายธุรกิจ สร้างความยืดหยุ่นในการรับมือกับวิกฤต และขับเคลื่อนการเติบโตได้อย่างยั่งยืน” เฮนดริก เวนเตอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีเอชแอล ซัพพลายเชน กล่าว

คลังสินค้าแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงคลังสินค้าที่ปลอดการปล่อยคาร์บอนเท่านั้น แต่ยังพิสูจน์ให้เห็นว่าความยั่งยืนสามารถนำมาซึ่งประโยชน์ที่แท้จริงให้กับลูกค้าได้ ผ่านบริการ GoGreen Plus ของดีเอชแอล ซึ่งช่วยให้ลูกค้าในธุรกิจต่างๆ สามารถลดการปล่อยคาร์บอนผ่านซัพพลายเชนโดยการดำเนินงานหลักทั้งหมดในคลังสินค้าตั้งแต่ระบบแสงสว่าง ระบบทำความเย็น ไปจนถึงการขนย้ายสินค้าที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานโซลาร์เซลล์ในพื้นที่และระบบกักเก็บพลังงาน นอกจากนี้ ลูกค้ายังได้รับประโยชน์จากการขนส่งด้วยรถขนส่งไฟฟ้า บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน และการให้บริการอย่างใกล้ชิดจากผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรอง Certified GoGreen Specialists ของดีเอชแอล ซึ่งจะคอยช่วยติดตามการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เพื่อช่วยให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนโดยยังคงรักษามาตรฐานคุณภาพบริการและความน่าเชื่อถือในระดับสากล

ฮาเวียร์ บิลเบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีเอชแอลซัพพลายเชน เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “ประเทศไทยกำลังก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการค้าที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง โครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และนโยบายด้านพลังงานหมุนเวียน คลังสินค้าแห่งนี้ได้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งนั้น เพราะไม่ได้เพียงขับเคลื่อนโลจิสติกส์ที่ยั่งยืน แต่ยังช่วยให้ภาคสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) และภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ บริหารจัดการซัพพลายเชนอย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีส่วนสร้างอนาคตโลว์คาร์บอนให้กับภูมิภาค”

สตีฟ วอล์กเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีเอชแอล ซัพพลายเชน กลุ่มธุรกิจประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์ที่ยั่งยืน การสร้างคลังสินค้า Bangna Sustainable Logistics Center นี้และการให้ความสำคัญกับรถขนส่งไฟฟ้าของเรา แสดงให้เห็นว่าการดูแลสิ่งแวดล้อมสามารถทำพร้อมกันกับการดำเนินงานได้ เราสร้างคลังสินค้านี้โดยคำนึงถึงลูกค้า โดยเฉพาะในภาคสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ยานยนต์ เทคโนโลยี วิศวกรรมและการผลิต ที่ต้องการทั้งความคล่องตัวและความยั่งยืน

ด้วยการผสานพลังงานโซลาร์เซลล์ ระบบกักเก็บพลังงานขั้นสูง และการฝึกอบรมพนักงานให้เป็น Certified GoGreen Specialists เราส่งมอบคุณค่าที่วัดผลได้ให้แก่ลูกค้า พร้อมทั้งเสริมสร้างบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ของอาเซียน โดยเฉพาะในด้านยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอีคอมเมิร์ซ โดยคลังสินค้านี้จะเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับคลังสินค้าของเราในประเทศไทยในอนาคต ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในอนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย และพิสูจน์ให้เห็นว่าการเติบโตและความยั่งยืนสามารถบรรลุไปพร้อมกันผ่านนวัตกรรมที่ชาญฉลาดได้”

คลังสินค้าของดีเอชแอล ซัพพลายเชน ประเทศไทยนี้ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทยที่ตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 อีกด้วย

โดยคลังสินค้าตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์บนถนนบางนา-ตราด กม.20 ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิเพียง 18 กิโลเมตร และห่างจากท่าเรือกรุงเทพฯ 26 กิโลเมตร มีพื้นที่กว่า 45,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นสองคลังสินค้า โดยโครงสร้างอาคารมีความสูงเพดานถึง 14.5 เมตร และพื้นที่สามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 5 ตัน พร้อมโซนเก็บสินค้าทั้งแบบอุณหภูมิปกติและควบคุมอุณหภูมิ เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าแต่ละประเภทได้รับการเก็บรักษาในสภาวะที่เหมาะสมที่สุด พร้อมทั้งนำเสนอโซลูชันเทคโนโลยีที่ยั่งยืนทั้งในด้านคลังสินค้า และการขนส่ง

โซลูชันด้านการขนส่งที่คลังสินค้านี้ประกอบด้วย รถขนส่งไฟฟ้าที่ใช้พลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน 100% และการวางแผนเส้นทางเดินรถที่มีประสิทธิภาพสูงสุดผ่านศูนย์ควบคุม DHL Connected Control Tower และเพื่อเสริมสร้างการเปลี่ยนผ่านด้านความยั่งยืนนี้ ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ยังได้ดำเนินโครงการ Certified GoGreen Specialist โดยพนักงานได้รับการฝึกอบรมเพื่อเป็นผู้นำด้านความเป็นเลิศทางสิ่งแวดล้อมในการดำเนินงานทั่วประเทศไทย

ในคลังสินค้ายังประกอบไปด้วยเทคโนโลยี Vertical Lift Module ซึ่งเป็นระบบเก็บสินค้า shelf-based แบบปิด เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พื้นที่แนวตั้ง การดำเนินงาน และการควบคุมสินค้าคงคลัง ระบบเหล่านี้เชื่อมต่อโดยตรงกับเทคโนโลยีการจัดการพลังงานอัจฉริยะ และระบบบริหารจัดการคลังสินค้าขั้นสูง เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น และส่งมอบประโยชน์สูงสุดให้แก่ลูกค้า

เขตปลอดอากรของคลังสินค้าแห่งนี้ยังนำมาซึ่งประโยชน์ทางธุรกิจสำหรับบริษัทที่ต้องการขยายการดำเนินงานในภูมิภาค ด้วยใบอนุญาตทั้งเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ธุรกิจต่างๆ สามารถได้รับประโยชน์จากขั้นตอนศุลกากรที่รวดเร็ว การยกเว้นภาษี และกระบวนการด้านกฎระเบียบที่ง่ายขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยลดความซับซ้อนในการดำเนินงาน และลดต้นทุนเป็นอย่างมาก

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles