นายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการ ในฐานะโฆษก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตลท.จะเรียก บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ ( EA ) ชี้แจงข้อมูลที่นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ขายหุ้น EA จำนวน 14.69 ล้านหุ้น ซึ่งแจ้ง ตลท.ไม่ตรงกับที่แจ้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
จากข้อมูลที่นายสมโภชน์ แจ้งกับ ตลท.ระบุว่าเป็นการขายหุ้น Big lot จำนวน 14.69 ล้านหุ้นในช่วง ณ ราคาปิดตลาด (ATC) ในวันที่ 1 ก.ค.67 เพื่อปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น ไม่ได้ถูก Force sell และไม่มีหุ้นที่มีความเสี่ยงจะโดน Force sell เหลือแล้ว แต่นายสมโภชน์กลับชี้แจงข้อมูลกับ ก.ล.ต.ว่ารายการดังกล่าวเป็นการทำรายการแบบ Auto Matching ซึ่งเป็นการรายงานที่ไม่ตรงกัน
“ตลาดหลักทรัพย์เตรียมเรียก EA เข้ามาชี้แจงข้อมูลภายในวันสองวันนี้เกี่ยวกับรายการขายหุ้นที่มีการรายงานข้อมูลของการทำรายการขายหุ้นที่แจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์ฯทราบไม่ตรงกันกับที่ EA แจ้งกับก.ล.ต.” นายรองรักษ์ กล่าว
นายรองรักษ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้พบว่าผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนหลายรายนำหุ้นจำนวนมากไปวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันบัญชีมาร์จิ้น ซึ่งทาง ตลท.รายงานข้อมูลดังกล่าวต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่องผ่านทางเว็บไซต์เพื่อให้นักลงทุนได้ทราบว่าแต่ละบริษัทจดทะเบียนนำหุ้นไปวางไว้ในสัดส่วนเท่าใด
ตลท.ต้องการให้นักลงทุนใช้ความระมัดระวังการลงทุนหุ้นที่ถูกนำไปวางมาร์จิ้นในสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับจำนวนหุ้นทั้งหมด เพราะมีโอกาสที่หุ้นนั้นๆ จะมีความผันผวนของราคาค่อนข้างมาก และมีโอกาสถูก Force sell ทำให้ราคาปรับตัวลงแรงมาก โดยไม่มีปัจจัยพื้นฐานมารองรับ และยังต้องดูว่าการที่ผู้บริหารมีการนำหุ้นไปวางมาร์จิ้นเป็นการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์หรือไม่
โฆษก ตลท.กล่าวอีกว่า ตลท.ติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อรวบรวมข้อมูลมาประกอบใช้ในการพิจารณาหามาตรการเพิ่มเติมมาเพื่อควบคุมเรื่องดังกล่าว และจะเข้าไปหารือกับทาง ก.ล.ต.ในการร่วมกันหามาตรการด้วย เพื่อป้องกันผลกระทบจากการที่หุ้นถูก Force sell จากการนำไปวางมาร์จิ้นจำนวนมากด้วย และเป็นการช่วยดูแลนักลงทุนรายย่อย
นายรองรักษ์ ยังกล่าวถึงผลของการเริ่มใช้มาตรการ uptick มาเป็นระยะเวลา 8 วันทำการที่ผ่านมาว่า มูลค่า Short sell เฉลี่ยรายวันปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึง 72% มาเหลืออยู่ที่ 1.46 พันล้านบาท/วัน จากช่วงก่อนใช้ Uptick อยู่ที่ 5.29 พันล้านบาท/วัน เนื่องจากทำ Short sell ได้ยากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยทำให้ภาพของตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวขึ้น
นอกจากนี้ การฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังจะมาจากปัจจัยสนับสนุนอื่นๆด้วย เช่น การเริ่มทยอยเริ่มใช้มาตรการฟื้นความเชื่อมั่นของตลาดหุ้น แรงหนุนจากจากเม็ดเงินใหม่ของกองทุน TESG และกองทุนวายุภักษ์ ส่งผลให้โอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะลงแรงๆ มีน้อยแล้ว และยังมีปัจจัยบวกจากต่างประเทศหลังจากที่ธนาคารสหรัฐ (เฟด) เริ่มส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยมีส่วนช่วยหนุนให้กระแสเงิน (Fund flow) จะไหลกลับเข้ามาในกลุ่มตลาดหุ้นในประเทศเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย