นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาคตลาดทุนจับตาการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตามสถานการณ์การเมืองไม่ได้กระทบกับภาคตลาดทุนมากนัก เนื่องจากนักลงทุนดูปัจจัยพื้นฐานธุรกิจและพื้นฐานเศรษฐกิจเป็นหลัก และข้อเท็จจริงที่เห็นในช่วงที่ผ่านมาการเมืองไทยไม่ว่าใครจะมาบริหาร ก็ไม่ทำร้ายตลาดทุน และจากการพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติ นักลงทุนสถาบันหรือกองทุนขนาดใหญ่ในงานไทยแลนด์โฟกัส 2025 ที่ผ่านมา พบว่าส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการเมืองไทยที่ไม่มีความรุนแรง แม้ไม่มั่นใจว่าโครงการขนาดใหญ่จะถูกขับเคลื่อนต่อไปหรือไม่ แต่ยังสนใจตลาดหุ้นไทยที่เป็นตลาดใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน ประกอบกับเศรษฐกิจยังพอขยายตัวได้
โดยเสียงสะท้อนจากนักลงทุนถึงรัฐบาลใหม่ ต้องการให้ขับเคลื่อนพื้นฐานเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้น และระยะยาว จากนักลงทุนต่างชาติมาบริษัทจดทะเบียนเป็นกรมอุตสาหกรรมเก่า จึงอยากให้มีการสนับสนุน กลุ่ม New Economy และ New S Curve
ทั้งนี้ หลังจากจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเข้าหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อร่วมขับเคลื่อนตลาดทุนและหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะถัดไป โดยจะผลักดันโครงการ JUMP+ ต่อไป ส่วนโครงการทG-Token และ BOND Connect อาจต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาลใหม่ และหากเป็นไปได้อยากได้รัฐมนตรีคลังที่เข้าใจตลาดทุน เพื่อจะได้ใช้กลกลตลาดทุนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ช่วงที่เหลือของปีนี้แม้การเมืองจะเปลี่ยนแปลง แต่ยังไม่เห็นการชะลอ IPO โดยปีนี้มี 18 บริษัทยื่นไฟลิ่งกับสำนักงาน ก.ล.ต. ผ่านความเห็นชอบแล้ว 10 แห่ง ในจำนวนนี้น่าจะมีหุ้นขนาดใหญ่เข้า IPO ด้วย 2 บริษัท คือ กลุ่มบริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) และบริษัท ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น
ขณะที่ 8 เดือนแรกของปี 2568 นี้มีบริษัทเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯแล้ว 36 ล้านดอลลาร์ ยอมรับว่าปีนี้ต่ำสุดเป็นปีแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา แต่หากเทียบมูลค่าของบริษัทที่เข้าระดมทุนในเอเชียไทยยังมากกว่าประเทศฟิลิปปินส์และเวียดนาม