ตลท.เปิดพอร์ตนักลงทุนต่างประเทศ 10 ชาติลงทุนตลาดหุ้นไทย ปี 2568 เปิด 3 หุ้นกลุ่มฮิตลงทุนของต่างชาติ

ตลท.เปิดพอร์ตนักลงทุนต่างประเทศ 10 ชาติลงทุนตลาดหุ้นไทย ปี 2568 เปิด 3 หุ้นกลุ่มฮิตลงทุนของต่างชาติ

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยผลการศึกษาข้อมูลการถือครองหุ้นในตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 ของบริษัทจดทะเบียนจำนวน 854 บริษัท ซึ่งมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมกว่า 13.43 ล้านล้านบาท หรือ 97.89% ของมูลค่าหลักทรัพย์รวมทั้งตลาด สรุปได้ดังนี้

นักลงทุนต่างประเทศที่มีสัดส่วนมูลค่าการถือครองหุ้นสูงสุด 10 สัญชาติแรก พบว่า ยังคงเป็นสัญชาติและอันดับเดียวกันกับปีก่อน อันดับ 1 นักลงทุนจากสหราชอาณาจักรมีมูลค่าการถือครองหุ้นสูงสุด 1.29 ล้านล้านบาท หรือที่ 29.2% ตามด้วยนักลงทุนจากสิงคโปร์ 1.22 ล้านล้านบาท ที่ 27.6% 3.ฮ่องกง 4.58 แสนล้านบาท ที่ 10.4% 4.สวิสเซอร์แลนด์ 3.10 แสนล้านบาท ที่ 7.0%

5.สหรัฐอเมริกา 2.99 แสนล้านบาท ที่ 6.8% 6.เนเธอร์แลนด์ 2.31 แสนล้านบาท ที่ 5.2% 7.ญี่ปุ่น 1.89 แสนล้านบาท ที่ 4.3% 8.ไต้หวัน 1.27 แสนล้านบาท ที่ 2.9% 9.ฝรั่งเศส 87,631 ล้านบาท ที่ 2.0% และ 10.มอริเชียส 80,135 ล้านบาท ที่ 1.8%

ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 นักลงทุนต่างประเทศถือครองหุ้นในตลาดหุ้นไทย มีมูลค่ารวมประมาณ 4.43 ล้านล้านบาท คิดเป็น 32.99% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมทั้งตลาด ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับสิ้นปี 2567 พบว่า มูลค่าการถือครองหุ้นลดลง 24.13% ซึ่งเป็นการลดลงตามราคา

หลักทรัพย์ที่ปรับตัวลดลง สังเกตได้จากดัชนีหุ้น SET Index ที่ลดลง 22.19% กลุ่มอุตสาหกรรมที่นักลงทุนต่างประเทศถือครองหุ้นสูงสุด 3 อันดับแรก คือ กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มบริการ โดยการถือครองหุ้นทั้ง 3 กลุ่มอุตสาหกรรมมีมูลค่าการถือครองหุ้นรวม 3.34 ล้านล้านบาท คิดเป็น 75.39% ของมูลค่าการถือครองหุ้นรวมของนักลงทุนต่างประเทศ

หมวดธุรกิจที่นักลงทุนต่างประเทศถือครองหุ้นสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หมวดชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์ (ETRON) หมวดธนาคาร (BANK) และหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ICT) โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 มีมูลค่าถือครองหุ้นรวม 2.61 ล้านล้านบาท คิดเป็น 58.97% ของมูลค่าการถือครองหุ้นรวมของนักลงทุนต่างประเทศ

นอกจากนี้ 72.9% ของมูลค่าการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศเป็ นการถือครองหุ้นที่อยู่ในองค์ประกอบของดัชนีหุ้น MSCI Thailand Index ซึ่งมีสัดส่วนลดลงจาก 75.2% จาก ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2567 อันเป็นผลจากราคาหลักทรัพย์ที่ปรับตัวลดลงและการขายหุ้นเนื่องจากหุ้นของบริษัทจดทะเบียน บางบริษัทไม่ได้เป็นองค์ประกอบดัชนี ณ ช่วงเวลาที่ทำการศึกษา

ติดตาม BTimes ได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
Latest Posts

Related Articles