แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่พักอาศัย กล่าวว่าตลาดอสังหาฯ ปี 2568 ยังคงเผชิญกับความท้าทาย โดยเฉพาะตลาดคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ ที่ผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่ยังคงชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ มีเพียง 2-4 โครงการที่คาดว่าจะเข้าสู่ตลาดในปีนี้ บางรายได้เริ่มออกจากตลาดในกรุงเทพฯ และหันไปพัฒนาโครงการที่ภูเก็ตแทน หรือเปลี่ยนทิศทางไปสู่ตลาดบ้านแนวราบ
ขณะที่สต็อกคอนโดฯ ที่ยังขายไม่ออก ถูกนำกลับมาทำตลาดใหม่ในราคาลดพิเศษ ทำให้ปีนี้ยังคงเป็น “ตลาดของผู้ซื้อ” การเปลี่ยนแปลง ที่เห็นได้ชัดคือความนิยมของโครงการระดับ Luxury และ Ultra Luxury ซึ่งได้รับการตอบรับดีจากกลุ่มผู้มีฐานะสูงและมีราคาต่อตารางเมตรตั้งแต่ 320,000 บาทขึ้นไป และมีความต้องการยูนิตที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าปกติ อีกทั้งโครงการมิกซ์ยูสเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่ต้องการลดเวลาเดินทางและใช้ชีวิตในที่เดียว
นอกจากนี้ ตลาดบ้านแนวราบยังคงมีศักยภาพ โดยเฉพาะในช่วงราคาตั้งแต่ 10-40 ล้านบาท แม้ว่าการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจะทำให้กลายเป็น “ตลาดของผู้ซื้อ” เช่นเดียวกับตลาดคอนโดฯ ทำเลศักยภาพของคอนโดฯ ที่ยังได้รับความสนใจ ได้แก่ เพลินจิต ชิดลม ราชดำริ สาทร และริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งยังเป็นพื้นที่ที่มีโครงการระดับสูงเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง
ปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่าย Occupier Strategy & Solutions ส่วนงาน Office เปิดเผยว่า ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ ปี 2567 ยังคงเผชิญกับภาวะอุปทานล้นตลาด โดยมีพื้นที่สำนักงานรวม 6.31 ล้านตร.ม. เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน ขณะที่พื้นที่ถูกเช่ารวมอยู่ที่ 4.86 ล้านตร.ม. เพิ่มขึ้นเพียง 2.2% ส่งผลให้ภาพรวมของตลาดยังคงเป็น “ตลาดของผู้เช่า” (Tenant’s Market) เนื่องจากมีอาคารสำนักงานใหม่เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มอาคารเกรด A ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) เช่น สีลม สาทร และสุขุมวิท ซึ่งมีค่าเช่าเฉลี่ย 900-1,600 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน
ขณะที่พื้นที่นอกเขต CBD เช่น พระราม 9 และบางนา-ตราด มีค่าเช่าเฉลี่ยต่ำกว่า 1,000 บาทต่อตร.ม. แม้ว่าค่าเช่าจะยังคงทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 3.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่เจ้าของอาคารยังคงเสนอส่วนลดพิเศษระหว่าง 10-25% เพื่อกระตุ้นอุปสงค์
สำหรับแนวโน้มในปี 2568 นายปัญญาคาดว่าอัตราการเช่าโดยรวมจะยังคงลดลง โดยปัจจุบันอัตราการเข้าพื้นที่เช่า (Occupancy Rate) อยู่ที่ 77% ลดลง 1.3% จากปีก่อน และคาดว่าจะลดลงต่อเนื่องไปถึงปี 2570 ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่ภาวะสมดุลมากขึ้น
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อตลาด ได้แก่แนวโน้ม “Flight to Quality” ที่องค์กรต่างๆ ย้ายไปอาคารที่มีคุณภาพสูงขึ้น การปรับพื้นที่ทำงานให้เหมาะสม (Space Optimization) และการให้ความสำคัญกับอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Going Green) ทั้งนี้ การฟื้นตัวของตลาดคาดว่าจะเกิดขึ้นหลังปี 2570 เมื่ออุปทานใหม่เริ่มลดลงและตลาดปรับเข้าสู่ภาวะสมดุลระหว่างเจ้าของอาคารและผู้เช่าอีกครั้ง