ตลาดซื้อขายทองคำโลก นิวยอร์ก รายงานว่า วันที่ 8 ตุลาคม 2025 ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา พบว่า ราคาทองคำส่งมอบทันที หรือ Gold Spot ปิดที่ 4,050.24 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +64.42 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +1.7% ส่งผลราคาปิดขึ้น 4 วันติดกันรวม +204.46 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +4.8% ทำสถิติเป็นทั้งราคาปิดสูงสุด และราคาสูงสุดระหว่างวันเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่ราคาทองส่งมอบทันทีแต่หลัก 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาทองคำโลกพุ่งกว่า 3% และเป็นราคาทองคำรายสัปดาห์ปิดขึ้น 7 สัปดาห์ติดต่อกัน
ตั้งแต่ต้นปีนี้มาถึงปัจจุบัน ราคาทองคำโลกพุ่งทะยานสูงมากถึง +54% ทำสถิติราคาทองคำโลกดีที่สุดในรอบ 46 ปี หรือตั้งแต่ปี 1979 ซึ่งมากกว่าตลอดทั้งปี 2024 ที่มีราคาพุ่งสูงถึง 27% ทำสถิติราคาทองคำโลกดีที่สุดในรอบ 14 ปี หรือตั้งแต่ปี 2011
สอดรับกับราคาทองคำล่วงหน้า หรือ Gold Future นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ 4,070.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +66.10 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +1.7% ส่งผลราคาปิดขึ้น 4 วันติดกันรวม +220.20 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +3.2% ทำสถิติเป็นทั้งราคาปิดสูงสุด และราคาสูงสุดระหว่างวันเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่
สาเหตุจากการเปิดเผยบันทึกการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หริอเฟด พบว่าความคิดเห็นของคณะกรรมการล้วนเป็นไปในทิศทางเดียวกันที่ว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงอีกราว 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี 2025 นี้ ด้านสภาทองคำโลกเปิดเผยรายงานว่าการลงทุนในหน่วยลงทุนทองคำหรือ gold ETA จากต้นปีนี้จนมาถึงปัจจุบันมีมูลค่า 64,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 2.08 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ เฉพาะในเดือนกันยายนเพียงเดือนเดียว พบว่า มีมูลค่าสูงมากถึง 17,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 562,250 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ดัชนีเปรียบเทียบความแข็งแกร่งภาวะการลงทุนทองคำ หรือ Relative Strength Index หรือ RSI ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 87 หมายถึงเกิดภาวะการลงทุนในตลาดทองคำโลกมากเกินไป
วิกฤตการเมืองในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของยุโรป มีความเปราะบางและไม่แน่นอนสูงมากหลังจากนายเซบาสเตียน เลอร์คอนู นายกรัฐมนตรีคนใหม่ และคณะรัฐบาลชุดใหม่ลาออกจากตำแหน่งเพียงในเวลา 14 ชั่วโมง ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งสะท้อนแนวโน้มเงินเฟ้อในญี่ปุ่นกลับมาเพิ่มขึ้น
ขณะที่ผ่านมา 8 วันที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเข้าสู่ภาวะไม่สามารถให้บริการต่อประชาชนได้ หรือ Goverment Shutdown ซึ่งทำให้นักลงทุนให้น้ำหนักความเสี่ยงที่จะกระทบกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐได้ ขณะที่นักวิเคราะห์ประเมินว่าโอกาสที่ 99% ที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.25% ในการประชุมเดือนตุลาคมนี้ และมีโอกาส 81% ที่จะลดดอกเบี้ยดังกล่าวลง 0.25% ในเดือนธันวาคมนี้ นั่นหมายถึงคาดว่าจะปรับลด 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของครึ่งปีหลังนี้
