สถานการณ์ตลาดทองคำโลกตกอยู่ในความผันผวนอย่างรุนแรงต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ทำการติดต่อกัน ย้อนไปเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2025 ตามเวลาในนิวยอร์ก ราคาทองคำส่งมอบทันที หรือราคา Gold Spot ปิดตลาดดำดิ่งลงกว่า -5.5% ทำสถิติราคาปิดร่วงหนักใน 1 วันทำการที่มากที่สุดในรอบ 5 ปีกว่า ในขณะที่ราคาทองคำที่กำลังซื้อขายอยู่ในขณะนี้ปรากฏว่าถูกแรงเทขายกดดันราคาทองคำร่วงดำดิ่งมากถึง -2.6% ดังนั้น ส่งผลให้ราคาทองคำส่งมอบทันทีมีราคาดำดิ่งถึง 2 วันติดกันมากกว่า -330.00 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือสุดหนักแรงกว่า -8% ทำให้เป็นราคาทองคำที่ดำเด็กลงลึก 2 วันติดต่อกันมากที่สุดในรอบ 12 ปีหรือนับตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา
ที่สำคัญ ราคาทองคำตลาดโลกที่ดำดิ่งถึง 2 วันติดต่อกันดังกล่าวนั้น ส่งผลให้มูลค่าตลาดทองคำโลกเสียหายรวมกันมากถึงกว่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐหรือดำดิ่งมากถึง 82 ล้านล้านบาทภายใน 2 วันติดต่อกัน
ตลาดซื้อขายทองคำโลกนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า วันที่ 22 ตุลาคม 2025 เวลา 9.40 น. ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา หรือตรงกับเวลา 20.40 น. ตามเวลาในประเทศไทย พบว่า ราคาทองคำส่งมอบทันที หรือ Gold Spot เคลื่อนไหวที่ 4,017.29 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -98.00 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -2.6% ทำสถิติราคาทองคำต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์
สอดรับกับราคาทองคำล่วงหน้า หรือ Gold Future นิวยอร์ก สหรัฐ เคลื่อนไหวที่ 4,032.80 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ -76.00 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ -1.9% ทำสถิติราคาทองคำต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ขณะที่เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมตามเวลาในนิวยอร์ก ราคาทองคำส่งมอบทันทีปิดตลาดดำดิ่งลงกว่า -3.4% ทำสถิติราคาปิดร่วงหนักใน 1 วันทำการที่มากที่สุดในรอบ 5 ปีกว่า ดังนั้น ส่งผลให้ราคาทองคำส่งมอบทันทีมีราคาดำดิ่งถึง 2 วันติดกันมากกว่า -223.80 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือตกหนักแรงกว่า -5.3%
ในขณะที่ราคาทองคำนับตั้งแต่ต้นปีนี้มาจนกระทั่งถึงวันนี้ 22 ตุลาคม 2025 มีราคาพยานขึ้นที่ 54% ซึ่งลดต่ำลงจากที่เคยขึ้นไปสูงสุดถึงกว่า 65% เมื่อวันที่ 17 ตุลาคมผ่านมา
สาเหตุมาจากนักลงทุนในตลาดทองคำที่นิวยอร์กสหรัฐอเมริกาขายเพื่อทำกำไรเป็นวันที่ 2 ต่อเนื่อง หลังจากที่ราคาทองคำส่งมอบทันที หรือ Spot มีราคาฟื้นกลับไปที่ระดับ 4,161.71 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับแข็งค่าขึ้น 0.2% ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นถึง 2 วันติดต่อกัน และทำสถิติแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 1 สัปดาห์
นอกจากนี้ นักลงทุนรอการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญในวันศุกร์นี้ ซึ่งเลื่อนมาจากสัปดาห์ที่แล้วได้แก่ ดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาประจำเดือนกันยายน ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขดังกล่าวน่าจะปรับเพิ่มขึ้น 3.1% ในแง่เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์ประเมินว่าโอกาสที่ 99% ที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.25% ในการประชุมวันที่ 28-29 ตุลาคมนี้ และมีโอกาส 81% ที่จะลดดอกเบี้ยดังกล่าวลง 0.25% ในเดือนธันวาคมนี้ นั่นหมายถึงคาดว่าจะปรับลด 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของครึ่งปีหลังนี้ ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 17 กันยายน เฟดลดดอกเบี้ยดังกล่าวลง 0.25% มาอยู่ที่ 4.00-4.25% ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดใน 2 ปีกว่า และเป็นการลดดอกเบี้ยระยะสั้นครั้งแรกในรอบ 9 เดือน โดยครั้งสุดท้ายที่เฟดตรึงดอกเบี้ยระยะสั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมผ่านมาที่ 4.25-4.50% ซึ่งเป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยนับตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2024 นั้น
ขณะที่ผ่านมา 21 วัน หรือครบ 3 สัปดาห์ ที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเข้าสู่ภาวะไม่สามารถให้บริการต่อประชาชนได้ หรือ Goverment Shutdown ซึ่งทำให้นักลงทุนให้น้ำหนักความเสี่ยงที่จะกระทบกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐได้ ส่งผลให้รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐ เปิดเผยว่า สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐสัปดาห์ละ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 487,500 ล้านบาทต่อสัปดาห์
