ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ในเดือนพ.ย.68 ส่งออกจีนพลิกกลับมาขยายตัวอยู่ที่ 5.9% เทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา จากที่หดตัว -1.1% ในเดือนต.ค 68 ได้รับปัจจัยหนุนจากการส่งออกไปยุโรปที่กลับมาเติบโตดีที่ 14.8% เทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา และการส่งออกมา ASEAN ที่ยังเติบโตต่อเนื่องที่ 8.2% เทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา โดยส่งออกมาเวียดนามยังเติบโตแข็งแกร่งที่ 25.8% เทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา ด้านการส่งออกมาไทยโตชะลอลงเล็กน้อยอยู่ที่ 9.9% เทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา
ขณะที่การส่งออกไปสหรัฐฯ ยังคงหดตัวเพิ่มขึ้นที่ -28.6% เทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา แม้การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในช่วงปลายเดือนต.ค.68 จะมีข้อตกลงปรับลดภาษี Fentanyl ลง ทั้งนี้ การนำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 1.9% เทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา ส่งผลให้จีนเกินดุลการค้าอยู่ที่ 11 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกของจีนเติบโตแข็งแกร่งกว่าคาดการณ์หนุนให้จีนเกินดุลการค้าทั่วโลกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.07 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ช่วงต้นปี 2025 สหรัฐฯ จะปรับขึ้นภาษีกับจีนในระดับสูงส่งผลให้การส่งออกจีนไปสหรัฐฯ หดตัว อย่างไรก็ตาม การส่งออกจีนไปสหรัฐฯ ที่หดตัวถูกชดเชยด้วยการส่งออกไปประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะอาเซียนเพิ่มขึ้น ซึ่งเวียดนาม และไทยเป็นประเทศที่จีนส่งออกมาสูงถึง 22.7%YoY และ 20.4% เทียบช่วงเดียวกันในปีผ่านมา ตามลำดับ ซึ่งสินค้าหลักที่ส่งออกมา คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าประเภทโทรศัพท์ สะท้อนว่าเป็นการส่งออกผ่านประเทศที่สามของจีนช่วยชดเชยผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในปี 2569 การส่งออกจีนมีความเสี่ยงที่ชะลอลง โดยเผชิญความท้าทายหลายด้าน ดังนี้
1. ปัจจัยฐานที่สูงจากการเร่งส่งออกไปในอัตราที่สูงแล้วในปี 2568
2. ความไม่แน่นอนจากการเก็บภาษี Transhipment ที่จะกดดันการส่งออกผ่านประเทศที่สามของจีน
3. ข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่จะสิ้นสุดในเดือนพ.ย.2569 4. การบังคับใช้ภาษีผ่านมาตรา 232 ที่ครอบคลุมกลุ่มสินค้าที่กว้างขึ้น