เบน แอนด์ คอมพานี (Bain & Company) ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการที่ปรึกษาการลงทุนชื่อดังระดับโลก เปิดเผยว่า ยอดขายสินค้าหรูหราประเภทของใช้ส่วนตัวทั่วโลกจะมียอดขายลดลง 2% ในปี 2024 นี้ เมื่อเปรียบเทียบกับในปี 2023 ส่งผลให้เมื่อไม่นับรวมปี 2019 ซึ่งเกิดวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19 นั้น จะทำให้ตลาดสินค้าหรูหราทั่วโลกดังกล่าวกลายเป็นปีที่มียอดขายตกต่ำมากที่สุดในรอบ 16 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2008-2009 เป็นต้นมา หรือนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกา
ปัจจุบัน ตลาดสินค้าหรูหราที่เป็นประเภทของใช้ส่วนตัว เช่น เครื่องหนัง นาฬิกา เป็นต้น ดังกล่าวมีมูลค่า 363,000 ล้านยูโร หรือ 386,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 13.51 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม ภาวะตลาดสินค้าหรูหราที่ชะลอตัวลงในปีนี้เป็นผลจากตลาดสินค้าหรูหราในประเทศจีนมียอดขายที่ตกต่ำมาก ซึ่งคาดว่าจะมียอดขายร่วงลงมากระหว่าง 20-22% ทำให้ตลาดสินค้าหรูหราในจีนซบเซาต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19 ซึ่งในช่วงเวลานั้น กำลังซื้อสินค้าหรูหราในจีนมาจากมหาเศรษฐีชาวจีนรุ่นใหม่ และการเติบโตของชาวจีนชนชั้นกลางมากขึ้น นอกจากนี้ ปัจจัยอัตราแลกเปลี่ยน หรือค่าเงินหยวนที่ร่วงตกต่ำอย่างมากเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลสินค้านำเข้ามีราคาสูงและแพงมากท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจจีนที่ซบเซาต่อเนื่อง
เฟดเดอริก้า เลวาโต้ หุ้นส่วนในบริษัทเบน แอนด์ คอมพานี เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นปีแรกที่ยอดขายสินค้าหรูหราประเภทของใช้ส่วนตัวตกต่ำในรอบ 15-16 ปีผ่านมา นั่นทำให้คาดการณ์ได้ว่ายอดขายเครื่องหนัง เสื้อผ้า เครื่องประดับประเภทแอคเซสซอรี และผลิตภัณฑ์ความงามระดับแบรนด์เนม จะมีมียอดขายทรงตัว ไม่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใดเมื่อเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงเทศกาลช้อปปิ้งปลายปีที่กำลังจะมาถึงนี้
เฟดเดอริก้า เลวาโต้ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงของจำนวนลูกค้าสินค้าหรูหราแบรนด์เนมทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากหลากหลายปัจจัยโดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวต่อเนื่อง พบว่าในช่วงระหว่างปี 2021-2023 หรือ 2 ปีให้หลังผ่านมา จำนวนลูกค้าสินค้าแบรนด์เนมทั่วโลกลดลงถึงกว่า 50 ล้านคน จากในช่วงก่อน 2 ปีดังกล่าวมีจำนวนผู้บริโภคสินค้าหรูหราแบรนด์เนมรวมกันทั่วโลกราว 400 ล้านคน
ทั้งนี้ ตลาดสินค้าหรูหราแบรนด์เนมในปี 2025 ได้รับกาคาดการณ์ว่าจะเติบโตระหว่าง 0-4% เมื่อเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐเฉลี่ยคงที่ในปีหน้า ซึ่งได้ปัจจัยมาจากการเติบโตของสินค้าแบรนด์เนมในยุโรป และอเมริกาเหนือ ในขณะที่ความต้องการสินค้าดังกล่าวในจีน ซึ่งเป็นตลาดสินค้าหรูหราแบรนด์เนมที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั้น จะต้องรอดูการฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2025