ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2024 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 40,936 จุด -626 จุด หรือ -1.51% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,528 จุด -119 จุด หรือ -2.12% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 17,136 จุด -577 จุด หรือ -3.26% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นทั้ง 3 แห่งทำสถิติร่วงหนักใน 1 วันที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 1 เดือน หรือตั้งแต่ 5 สิงหาคมผ่านมา
ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดสูงขึ้น +1.3%, +1.45% และ +1.4% ตามลำดับ สิ้นสุดเดือนสิงหาคม ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดสูงขึ้น +1.8%, +2.3% และ +0.7% ตามลำดับ โดยเฉพาะดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดสุทธิเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งถูกกระหน่ำเทขายอย่างรุนแรงในช่วงต้นเดือนสิงหาคม หรือเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม โดยทรุดตกต่ำลึกสุดของเดือนนี้ -5.4%, -7.3% และ -10.7% ตามลำดับ
สาเหตุจากนักลงทุนกระหน่ำเทขายหุ้นบริษัทเอ็นวีเดีย ซึ่งเป็นผู้นำและยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมผลิตไมโครชิป และเซมิคอนดักเตอร์ หลังจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐยื่นฟ้องเอ็นวีเดียต่อกรณีการป้องกันการครอบงำตลาดไมโครชิป ส่งผลราคาหุ้นดิ่งเหวหนักถึง -9% ฉุดมูลค่าบริษัทดำดิางถึง 279,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 9.76 ล้านล้านบาทภายในวันเดียว
นอกจากนี้ เดือนกันยายนในแต่ละปีผ่านมา มักจะเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นสหรัฐมีความผันผวนรุนแรง โดยเฉพาะจากสถิติที่เก็บย้อนหลังมาหลายทศวรรษ พบว่า ดัชนีหุ้นจะตกต่ำย่ำแย่ ซึ่งคาดการณ์ว่าดัชนีหุ้นจะทรุดลงมากถึง -5% ในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้
ด้านตัวชี้วัดโอกาสปรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดที่เรียกว่า เฟดวอช์ท พบว่า โอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงในเดือนกันยายนถึง 0.5% อยู่ที่ 54% จากเดิมที่ 49% และลดดอกเบี้ยดังกล่าวลง 0.25% มีโอกาสอยู่ที่ 77.5% ขณะที่ โอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นลงในธันวาคมอยู่ที่ 72% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ระดับ 50%