ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2024 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 43,729 จุด +1,508 จุด หรือ +3.57% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,929 จุด +146 จุด หรือ +2.53% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 18,983 จุด +544 จุด หรือ +2.95% ไม่เพียงส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดขึ้นเหนือระดับ 43,000 จุดเป็นครั้งแรกและครั้งประวัติศาสตร์ แต่ยังทำสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ สอดรับกับดัชนีหุ้นนาสแดคทำสถิติปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดลดลง -0.2%, -1.4% และ -1.5% ตามลำดับ
บรรยกาศการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เต็มไปด้วยความร้อนแรงสุดคึกคักนับตั้งแต่เปิดตลาดนาทีแรก ย้อนกลับไปเมื่อเวลา 9.30 น. ซึ่งตรงกับเวลา 21.30 น. ของไทยในคืนผ่านมา พบว่า ดัชนีหุ้นดาวโจนส์เปิดระดับ 43,528 จุด +1,306 จุด หรือ +3.09% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ที่ระดับ 5,901 จุด +118 จุด หรือ +2.06% และดัชนีหุ้นนาสแดคเปิดที่ 18,818 จุด +379 จุด หรือ +2.06% ไม่เพียงส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์เปิดตลาดซื้อขายพุ่งสูงขึ้นกว่า 3% ขึ้นไป ทำสถิติดัชนีหุ้นพุ่งกระฉูดมากที่สุดใน 1 วัน ที่คึกคักที่สุดในรอบ 1 ปี 4 เดือน หรือตั้งแต่มิถุนายน 2023 เป็นต้นมา แต่ยังทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่
ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 05.30 น.(ตามเวลาในสหรัฐ) หรือตรงกับ 17.30 น. ดัชนีหุ้นล่วงหน้า หรือ Future ทั้ง 3 ดัชนีหุ้นสำคัญพุ่งทะยานสูงขึ้น ประกอบด้วย ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ที่ระดับ 43,598 จุด +1,217 จุด หรือ +2.85% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ที่ระดับ 5,945 จุด +133 จุด หรือ +2.27% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 20,696 จุด +354 จุด หรือ +1.76%
สาเหตุจากนักลงทุนแห่เข้าลงทุนทั้งตลาดเงินดอลลาร์สหรัฐอย่าหนาตา ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งแข็งค่าสูงในรอบ 4 เดือนผ่านมา และลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งเป็นผลจากความชัดเจนในผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 โดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายด้วยคะแนนคณะผู้เลือกตั้งถึง 294 คะแนน ในขณะที่นางแฮร์ริสได้ 223 คะแนน ปัจจัยดังกล่าว ทำให้ขจัดปัจจัยเสี่ยง หรือปัจจัยความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองสหรัฐ พรรครีพลับริกันเต็มไปด้วยอำนาจการบริหารราชการเบ็ดเสร็จสมบูรณ์แบบ เนื่องจากได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่ทั้งวุฒิสมาชิก ทั้งสมาชิกผู้แทนราษฎร และผู้ว่าการรัฐ นโยบายของทรัมป์ที่จะยุติสงครามในภูมิภาคที่เกิดความขัดแย้งรุนแรงด้วย
ขณะที่นักลงทุนรอติดตามปัจจัยสำคัญสุดท้ายในสัปดาห์นี้ ในวันที่ 6-7 พฤศจิกายนที่จะมีการประชุมดอกเบี้ยระยะสั้น ซึ่งคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะลดดอกเบี้ยดังกล่าวลงอีก 0.25% ส่งผลเป็นการลดดอกเบี้ยต่อเนื่องถึง 2 ครั้งติดต่อกันเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปีผ่านมา หรือตั้งแต่ปี 2020 ท่ามกลางตัวชี้วัดโอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐอเมริกา พบว่า การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐครั้งต่อไปวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ มีโอกาสที่ 100% ที่ดอกเบี้ยจะปรับลง 0.25%