ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2024 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 42,573 จุด -418 จุด หรือ -0.97% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,906 จุด -63 จุด หรือ -1.07% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 19,486 จุด -235 จุด หรือ -1.19% ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 และดัชนีหุ้นนาสแดค ยังคงปิดหลุดระดับ 43,000 จุด, 6,000 จุด และ 20,000 จุดต่อเนื่องข้ามสัปดาห์
นับมาถึงวันรองสุดท้ายของการซื้อขายหุ้นในปี 2024 พบว่า ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง พุ่งสูง +13%, +23.8% และ +29.8% ตามลำดับ โดยเฉพาะ ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติผลตอบแทนดัชนีหุ้นปิดบวกสูงกว่า 20% เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ขณะที่ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งปิด +13%, +23.8% ในเดือนธันวาคม 2024 ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิด -5.2%, -2.1% และ +1.4% ตามลำดับ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ในธันวาคมทำสถิติรายเดือนที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 2 ปี 3 เดือน หรือตั้งแต่กันยายนปี 2022 สอดรับกับดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ในธันวาคมทำสถิติรายเดือนที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 8 เดือน หรือตั้งแต่เมษายนปีนี้
สาเหตุจากสาเหตุจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า ส่งผลเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐรายสัปดาห์ที่แข็งค่าขึ้นถึง 4 สัปดาห์ติดกัน สอดรับกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี ที่พุ่งสูงขึ้นในรอบ 7 เดือนครึ่ง หรือนับตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคมผ่านมา ทำให้นักลงทุนยังคงเทขายหุ้นทุกกลุ่มอย่างหนาตาต่อเนื่องเพื่อลดความเสี่ยงจากแนวโน้มการชะลอลดดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐในปี 2025
นักลงทุนเพิ่มโอกาสการลดดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดครั้งแรกในปี 2025 จะมีขึ้นในเดือนมีนาคม และครั้งที่ 2 จะมีขึ้นในเดือนตุลาคม ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศตัวเลขการใช้จ่ายส่วนบุคคลชาวอเมริกันในคืนผ่านมานั้น นักลงทุนมองว่ามีโอกาส 50% ที่จะลดดอกเบี้ยระยะสั้นในเดือนธันวาคมของปี 2025 สำหรับการประชุมครั้งแรกของธนาคารกลางสหรัฐในปี 2025 จะมีขึ้นในวันที่ 27-28 มกราคม 2025