ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2024 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 43,914 จุด -234 จุด หรือ -0.53% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 6,051 จุด -32 จุด หรือ -0.54% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 19,902 จุด -132 จุด หรือ -0.66% ส่งผลดัชนีหุ้นนาสแดคปิดหลุดระดับ 20,000 จุดเป็นครั้งแรก หลังจากเมื่อวันพฤหัสบดีผ่านมา ดัชนีหุ้นนาสแดคปิดแตะหลัก 20,000 จุด และปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ ขณะเดียวกัน ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดหลุดระดับ 44,000 จุดเป็นครั้งแรกด้วย และปิดลดลง 6 วันติดกัน ทำสถิติยาวนานที่สุดในรอบ 7 เดือนครึ่ง หรือตั้งแต่เมษายนเป็นต้นมา
ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดเพิ่มขึ้น -0.6%, +0.96% และ +3.34% ตามลำดับ ในเดือนพฤศจิกายนดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิดเพิ่มขึ้น +7.5%, +5.0% และ +6.0% ตามลำดับ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ และดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติรายเดือนที่ดีที่สุดตั้งแต่ต้นปี 2024 นี้
สาเหตุจากเงินเฟ้อผู้ผลิตสินค้าทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน พบว่าเมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม เพิ่มขึ่น 0.4% ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% สอดรับกับเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันในปีผ่านมา เงินเฟ้อดังกล่าวเพิ่มขึ้น 3% เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 1 ปี 10 เดือน หรือตั้งแต่กุมภาพันธ์ปี 2023 ถึงแม้ว่าเมื่อตัดราคาอาหารและพลังงานออกไปให้กลายเป็นเงินเฟ้อผู้ผลิตขั้นพื้นฐาน ซึ่งเพิ่มขึ้น 0.2% ตรงตาดคาดการณ์ไว้นั้น แต่นักลงทุนมองว่าภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐโดยรวมๆ ยังคงไม่ลดลงเข้าเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง สร้างความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดจะทบทวนการลดดอกเบี้ยระยะสั้น นอกจากนี้ นักลงทุนหวนกลับเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีครั้งใหม่หลังจากเงินเฟ้อผู้ผลิตในสหรัฐส่งสัญญาณพุ่งสูงเกินคาดหมาย
ขณะที่ตัวชี้วัดโอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐอเมริกา พบว่า การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐครั้งต่อไปวันที่ 17-18 ธันวาคมนี้ โอกาสที่ดอกเบี้ยจะปรับลง 0.25% อยู่ที่ 95% จากเดิมที่ 86%