ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2025 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 44,713 จุด +289 จุด หรือ +0.65% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 6,012 จุด -88 จุด หรือ -1.46% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 19,341 จุด -612 จุด หรือ -3.07% ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิด +2.2%, +1.7% และ +1.7% ทำให้ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งปิดขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดดัน ตามลำดับ
สาเหตุจากนักลงทุนตื่นตกใจ และขาดความมั่นใจในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเอไอของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากธุรกิจสตาร์ทอัพสัญชาติจีนได้เปิดตัวแอพพลิเคชั่นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอด้วยการผลิตต้นทุนต่ำมีชื่อว่าดีพซีค (DeepSeek) ซึ่งใช้เงินลงทุนพัฒนา และสร้างแอปนี้ไม่ถึง 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 205 ล้านบาท และยังใช้เวลาสั้นมากในการพัฒนาเพียง 2 เดือนเท่านั้น ซึ่งแตกต่างอย่างมากมายเมื่อเทียบกับแอปเอไอของบริษัทอเมริกันชื่อดังระดับโลกที่ใช้เงินลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และใช้เวลานานกว่าในการพัฒนาแอปเอไออีกด้วย
ที่สำคัญ ไม่จำเป็นต้องใช้ชิพคุณภาพสูงระดับ H800s ของเอ็นวีเดีย ซึ่งเป็นไมโครชิพประเภทจีพียู หรือ Graphics Processing Units ที่เอ็นวีเดียเป็นเจ้าตลาดใหญ่ที่สุดของโลก แอปดังกล่าวยังสามารถใช้งานได้ระบบการเขียนโค้ดแบบเปิด หรือ Open Source เปิดใช้งานด้วยจำนวนภาษาที่มากมาย และให้ดาวน์โหลดใช้งานฟรีบนทั้ง 2 ระบบปฏิบัติการได้แก่ ไอโอเอส และแอนดรอยด์ รวมถึงคุณสมบัติของแอปดังกล่าวยังเทียบชั้นได้กลับแอปเอไอชื่อดังระดับโลกอย่าง แชทจีพีที ChatGPT อีกด้วย
หุ้นบริษัทเอ็นวีเดีย ซึ่งเป็นบริษัทผลิตไมโครชิพยักษ์ใหญ่และชื่อดังที่สุดของโลก ปิดตลาดเหลือหุ้นละ 118.58 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 4,032 บาทต่อหุ้น ทรุดหนักถึง -17% ทำสถิติราคาหุ้นเอ็นวีเดียที่เลวร้ายที่สุดในรอบเกือบ 5 ปี หรือตั้งแต่ 16 มีนาคม 2020 ซึ่งในช่วงนั้นหุ้นเอ็นวีเดียถูกกระหน่ำเทขายจากการเกิดโรคระบาดโควิด-19 เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ มูลค่าบริษัทเอ็นวีเดียเสียหายมากถึง 592,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 20.1 ล้านล้านบาทในคืนเดียว ทำสถิติเสียหายมากเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเป็นต้นมา
ในกลางเดือนมกราคมผ่านไป นักลงทุนมั่นใจมากขึ้นกับการแถลงนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับการสนับสนุนการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอในสหรัฐอเมริกาด้วยการลงทุนร่วมกันของภาคเอกชนสหรัฐและญี่ปุ่นมูลค่ามากถึง 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 17,000 ล้านบาท
ด้านตัวชี้วัดโอกาสการตรึงดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดครั้งแรกในการประชุมวันที่ 27-28 มกราคม ปี 2025 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 99% และแนวโน้มที่จะตรึงดอกเบี้ยดังกล่าวไปถึงเดือนมีนาคม ขณะที่โอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดในมีนาคมอยู่ที่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 41%
ทั้งนี้ สิ้นสุดปี 2024 พบว่า ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง พุ่งสูง +13%, +23% และ +29% ตามลำดับ โดยเฉพาะ ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติผลตอบแทนดัชนีหุ้นปิดบวกสูงกว่า 20% เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน