ตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา รายงานว่า เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2024 (ตามเวลาในสหรัฐ) ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ปิดที่ระดับ 42,528 จุด -172 จุด หรือ -0.42% ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ระดับ 5,909 จุด -66 จุด หรือ -1.11% และดัชนีหุ้นนาสแดค ปิดที่ 19,489 จุด-375 จุด หรือ -1.89% ในสัปดาห์ผ่านไป ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิด -0.60%, -0.48% และ -0.51% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 และดัชนีหุ้นนาสแดคยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 43,000 จุด, 6,000 จุด และ 20,000 จุดต่อเนื่องจากสัปดาห์สุดท้ายของปี 2024 ผ่านมา
สิ้นสุดปี 2024 พบว่า ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง พุ่งสูง +13%, +23% และ +29% ตามลำดับ โดยเฉพาะ ดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ทำสถิติผลตอบแทนดัชนีหุ้นปิดบวกสูงกว่า 20% เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ขณะที่ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่งปิด +13%, +23.8% ในเดือนธันวาคม 2024 ดัชนีหุ้นสำคัญทั้ง 3 แห่ง ปิด -5.2%, -2.1% และ +1.4% ตามลำดับ ส่งผลให้ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ในธันวาคมทำสถิติรายเดือนที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 2 ปี 3 เดือน หรือตั้งแต่กันยายนปี 2022 สอดรับกับดัชนีหุ้นเอสแอนด์พี 500 ในธันวาคมทำสถิติรายเดือนที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 8 เดือน หรือตั้งแต่เมษายนปีนี้
สาเหตุจากนักลงทุนเทขายหุ้นครั้งใหม่กับหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีชั้นนำ หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ได้แก่ ดัชนีภาคบริการในสหรัฐยังคงเพิ่มสูงขึ้น และ ตัวเลขตำแหน่งงานเปิดใหม่ในเดือนพฤศจิกายน 2024 ในสหรัฐ สร้างความประหลาดใจเกินคาดหมาย โดยเพิ่มขึ้น 259,000 ตำแหน่ง ส่งผลให้ยอดดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 8.09 ล้านตำแหน่ง นักลงทุนหวั่นตอกย้ำแนวโน้มจำนวนครั้งในการลดดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐมีน้อยลง ท่ามกลางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น สอดรับกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี ที่พุ่งสูงขึ้นในรอบ 8 เดือนครึ่ง หรือนับตั้งแต่เมษายน 2024 ผ่านมา
นักลงทุนเพิ่มโอกาสการลดดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดครั้งแรกในปี 2025 จะมีขึ้นในเดือนมีนาคม และครั้งที่ 2 จะมีขึ้นในเดือนตุลาคม ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศตัวเลขการใช้จ่ายส่วนบุคคลชาวอเมริกันในคืนผ่านมานั้น นักลงทุนมองว่ามีโอกาส 50% ที่จะลดดอกเบี้ยระยะสั้นในเดือนธันวาคมของปี 2025 สำหรับการประชุมครั้งแรกของธนาคารกลางสหรัฐในปี 2025 จะมีขึ้นในวันที่ 27-28 มกราคม 2025