ดร.พิพัฒน์ ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร โพสต์ข้อความเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 3 ปี 2568 มีดังนี้
ตัวเลขจีดีพีไทยติดลบเทียบไตรมาสต่อไตรมาสในปีนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ไตรมาส หรือไทยกำลังจะเป็นคนป่วยคนใหม่ของอาเซียนจริงๆ?
GDP ไทยไตรมาส 3/67 ออกมาต่ำกว่าที่หลายคนคาด โตได้เพียง 1.2% เทียบกับปีก่อน และที่สำคัญคือหดตัว -0.6% แบบไตรมาสต่อไตรมาส ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ไตรมาสแล้วนะครับ ครั้งล่าสุดที่เห็นตัวเลขติดลบแบบนี้ต้องย้อนไปไตรมาส 4 ปี 2022 ตัวเลขแบบนี้ไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจสะดุดนิดเดียว แต่สะท้อนว่าพื้นฐานการฟื้นตัวยังเปราะบางกว่าที่หลายฝ่ายอยากให้เป็น
ภาคอุตสาหกรรมที่ควรจะเป็นเครื่องยนต์สำคัญกลับกลายเป็นตัวฉุด เพราะหลายอุตสาหกรรมมีการปิดซ่อมโรงงานพร้อมกัน ทั้งโรงกลั่น เครื่องดื่ม และโรงงานรถยนต์ ทำให้การผลิตในภาพรวมติดลบแรง แม้จะมีเหตุผลเชิงเทคนิค แต่สิ่งที่ต้องกังวลคือ แม้เราตัด “ตัวลบชั่วคราว” ออกไป ภาคการผลิตของไทยก็ยังติดลบอยู่ดี นี่คือสัญญาณว่าอุตสาหกรรมไทยไม่ได้อ่อนเพราะซ่อมบำรุงเท่านั้น แต่อ่อนเพราะโครงสร้างจริง ๆ (แล้วสงสัยไหมครับ ที่ส่งออกโตเกือบยี่สิบเปอร์เซนต์ เอาอะไรไปส่งออก)
อีกด้านหนึ่ง การก่อสร้างที่เคยหวังให้ช่วยพยุงเศรษฐกิจกลับหดตัวต่อเนื่องหลังภาครัฐชะลอการเบิกจ่ายและโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ๆ เปิดตัวไม่ได้เพราะยอดขายซบเซา ขณะที่ท่องเที่ยว — ฮีโร่ของเศรษฐกิจไทยในช่วงหลังโควิด — ก็เริ่มส่งสัญญาณอ่อนลงชัดเจน นักท่องเที่ยวมาเยอะ แต่ “เม็ดเงิน” ที่สร้างรายได้ชะลอกว่าปีที่ผ่านมา และฐานสูงทำให้ตัวเลขโตแทบไม่ขึ้น กลายเป็นว่าพอแรงส่งจากท่องเที่ยวหายไป เศรษฐกิจไทยก็แทบไม่มีอะไรคอยพยุง
สิ่งที่พอช่วยให้ GDP ไม่แย่กว่านี้คือค้าส่งค้าปลีกที่โตดีจากยอดขายรถยนต์ โดยเฉพาะรถไฮบริดที่เปลี่ยนรุ่นใหม่ แต่ต้องย้ำว่านี่เป็นแรงชั่วคราว ไม่ใช่สัญญาณว่าการบริโภคในประเทศฟื้นจริง เพราะในเวลาเดียวกัน ตัวเลข SSSG ของบริษัทค้าปลีกหลายแห่งยังติดลบอยู่
เมื่อเศรษฐกิจติดลบเทียบไตรมาสต่อไตรมาสในรอบนี้ ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค “technical recession” ก็เพิ่มขึ้นทันที เพราะถ้าไตรมาส 4 หลุดแล้วติดลบอีก ก็จะเป็นสองไตรมาสติด — แปลว่าประเทศเข้าสู่ภาวะถดถอยตามนิยามเทคนิค อย่างไรก็ตาม เรามองว่าไตรมาสที่ 4 น่าจะกลับมาเป็นบวกได้เล็กน้อย หลังภาคการผลิตเริ่มเดินเครื่องใหม่ แต่ต้องย้ำว่า “บวกเล็กน้อย” ไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจฟื้นจริง มันอาจเป็นเพียงการรีบาวด์เชิงเทคนิคเท่านั้น
สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าแค่จีดีพี คือภาพลักษณ์ของเศรษฐกิจไทยในสายตาภูมิภาคและนักลงทุนต่างประเทศ ตอนนี้เริ่มมีสัญญาณชัดว่าประเทศอื่นมองไทยเป็นจุดอ่อนของอาเซียน บทความล่าสุดของ Business Times ในสิงคโปร์พูดตรง ๆ ว่าไทยกำลังถูกจัดให้อยู่ท้ายตารางและได้ “เกรด D” ในความสามารถจะเป็น growth driver ของภูมิภาค ประโยคนี้แรงมาก เพราะแปลว่าเพื่อนบ้านไม่ได้มองว่าเรายืนอยู่ที่เดิม แต่กำลังกังวลว่าไทยอาจกลายเป็น “ผู้ฉุด” ไม่ใช่ “ผู้ขับเคลื่อน”
ที่สำคัญคือ ในอาเซียนตอนนี้ ประเทศส่วนใหญ่ยังโตได้ดี 4–6% แบบสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะอินโด มาเลย์ ฟิลิปปินส์ หรือเวียดนาม แต่ไทยยังโตเพียง 1% ต้น ๆ ถ้าแนวโน้มนี้ยาวไปอีก 2–3 ปี โดยที่เราไม่เร่งปรับโครงสร้างผลิตภาพ การลงทุน ทิศทางอุตสาหกรรม และความแน่นอนของนโยบาย เศรษฐกิจไทยอาจจะถูกตราหน้าว่าเป็น “คนป่วยคนใหม่ของอาเซียน” อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะกระทบความเชื่อมั่นการลงทุน
และสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังตัวเลขทั้งหมดนี้คือความจริงที่ว่า เศรษฐกิจไทยไม่ได้ขาด “แรงกระตุ้นระยะสั้น” แต่กำลังขาด “พื้นฐานที่จะเติบโต” แบบยั่งยืน เราเคยอาศัยท่องเที่ยวช่วยประคอง เราเคยมีอุตสาหกรรมที่แข็งแรงกว่าในภูมิภาค แต่วันนี้ทั้งสองเครื่องยนต์เริ่มส่งสัญญาณอ่อนลงพร้อมกัน ขณะที่เครื่องยนต์อื่น เช่น นวัตกรรม การลงทุนคุณภาพสูง และผลิตภาพแรงงาน ยังไม่เกิดขึ้นจริง
ถ้าไม่เร่งแก้ไข เร่งปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจให้แข่งขันได้ ดึงดูดการลงทุน และเพิ่ม productivity เราอาจไม่ได้แค่โตช้า แต่ “ติดอยู่ในความโตช้า” แบบที่หลุดออกไม่ได้ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ตัวเลข 1.2% ในวันนี้น่ากังวลกว่าที่เห็นมากครับ