ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยบทความมีชื่อว่า เติบโตแต่ไม่ทั่วถึง: เศรษฐกิจไทยในมุมมองของฐานราก มีดังนี้
หลังจากผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 เศรษฐกิจไทยทยอยฟื้นตัวและเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่ล่าสุดเติบโต 2.8% ในไตรมาส 2 ปี 2568 แต่ตัวเลขนี้อาจสวนทางกับความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยหรือครัวเรือนฐานราก เพราะการเติบโตดังกล่าวกระจุกตัวอยู่เฉพาะในบางกลุ่ม อาทิ ธุรกิจใหญ่ และผู้มีรายได้สูงเท่านั้น ฉะนั้นการพิจารณาถึงรายละเอียดภายใต้ตัวเลขที่เติบโตจึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการออกแบบนโยบายอย่างตรงจุด
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดทำดัชนีความเชื่อมั่นครัวเรือนฐานราก (Relationship Manager Sentiment Index: RMSI) ผ่านการสำรวจความคิดเห็นของผู้จัดการธนาคารทั่วประเทศ ทั้งด้านความเป็นอยู่และภาวะการเงิน นอกจากนี้ ยังได้พูดคุยกับสมาคมต่าง ๆ อาทิ สมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย และสหพันธ์ผู้ค้าหาบเร่แผงลอย เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนและครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยพบว่า ความเป็นอยู่ของครัวเรือนฐานรากมีแนวโน้มแย่ลง สะท้อนจากดัชนี RMSI ที่มีทิศทางลดลงตั้งแต่ปี 2566 และปัจจุบันอยู่ต่ำสุดในรอบ 3 ปี ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีสัดส่วนกว่าครึ่งของจำนวนผู้มีงานทำทั้งหมด สะท้อนว่า คนส่วนใหญ่ยังมองว่าเศรษฐกิจไม่ดี แม้ตัวเลขเศรษฐกิจจะเติบโตก็ตาม โดยหากดูองค์ประกอบย่อย พบว่าความเป็นอยู่ที่แย่ลงเป็นผลจาก 2 ปัจจัย คือ รายได้ และค่าครองชีพ
รายได้ที่ลดลง และไม่แน่นอนสูง สำหรับปัจจัยด้านรายได้ มีความน่ากังวลในแง่ของระดับรายได้ที่ลดลง โดยครัวเรือนเกษตรถูกกดดันจากราคาสินค้าเกษตรที่ปรับลดลงหลายรายการ โดยเฉพาะข้าว ซึ่งเป็นสินค้าหลัก และส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่มีสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนเกษตรกรทั้งหมด
ครัวเรือนนอกภาคเกษตรก็เผชิญกับรายได้ที่ลดลงเช่นกัน โดยจากการพูดคุยกับกลุ่มผู้ค้าหาบเร่แผงลอย พบว่า รายได้ของผู้ค้าลดลงมาก เมื่อเทียบกับก่อนโควิด-19 คาดว่าเป็นผลจาก
1) กำลังซื้อที่ลดลง โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานภาคอุตสาหกรรม บริการ และการค้า ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้าหลักที่รายได้ส่วน OT ลดลง ตามการลดจำนวนชั่วโมงทำงานของหลายธุรกิจ
2) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายของผู้ค้ารายย่อยในพื้นที่ท่องเที่ยวและเมืองหลัก และ
3) การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะจากคนต่างชาติที่เข้ามาค้าขายหาบเร่แผงลอย
นอกเหนือจากปัญหารายได้ที่ลดลง ครัวเรือนฐานรากยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนด้านรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากรูปแบบการจ้างงานที่เปลี่ยนไปโดยจากการพูดคุยกับธุรกิจหลายสาขา พบว่าหลายรายจ้างงานและจ่ายค่าตอบแทนในลักษณะที่ยืดหยุ่นมากขึ้น อาทิ จ่ายค่าจ้างเป็นจำนวนชิ้นแทนรายชั่วโมง หรือจ้างงานรายวันแทนรายเดือน เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการแรงงานและค่าใช้จ่ายท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ซึ่งรูปแบบการจ้างงานดังกล่าวทำให้ครัวเรือนฐานรากคาดการณ์รายได้ของตนได้ยาก ส่งผลให้ต้องระมัดระวังค่าใช้จ่ายมากขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ยังมีความกังวลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสัดส่วนครัวเรือนฐานรากที่อาจเพิ่มขึ้น จากโอกาสในการหางานที่ยากขึ้น ส่วนหนึ่งสะท้อนจากจำนวนผู้รับสิทธิว่างงานรวมที่ยังเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้ครัวเรือนที่เผชิญความเปราะบางด้านรายได้มีเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ค่าครองชีพที่สูงขึ้น เป็นหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของครัวเรือนฐานราก คือค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยแม้อัตราเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับต่ำ จากการปรับลดลงของราคาพลังงานและอาหารสด แต่สินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอย่างอาหารสดบางรายการ อาทิ เนื้อสัตว์ มีราคาปรับสูงขึ้นประมาณ 20% เทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 นอกจากนี้ สินค้าที่ครัวเรือนใช้ประจำ อาทิ อาหารสำเร็จรูป เครื่องประกอบอาหาร และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ มีราคาโดยเฉลี่ยสูงขึ้นเกือบ 15% เทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ซึ่งค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้ ยิ่งซ้ำเติมครัวเรือนฐานรากที่มีความเปราะบางด้านรายได้อยู่แล้วให้มีความเป็นอยู่แย่ลงยิ่งขึ้น
เมื่อรายจ่ายเพิ่มขึ้นสวนทางกับรายได้ที่ลดลง การพึ่งพิงสินเชื่อจึงเป็นหนึ่งในทางออกของครัวเรือนฐานราก ทั้งเพื่อใช้บรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและเป็นต้นทุนสำหรับประกอบอาชีพ แต่จากดัชนี RMSI ด้านภาวะการเงินสะท้อนว่าการเข้าถึงสินเชื่อในระบบของครัวเรือนฐานรากทำได้ยากขึ้น จากความสามารถในการชำระหนี้และการได้รับสินเชื่อที่ลดลง บางรายจึงต้องหันไปพึ่งพิงช่องทางอื่น อาทิ นำทรัพย์สินไปจำนำ หรือขอกู้จากแหล่งเงินกู้นอกระบบ ส่งผลให้โอกาสในการหลุดออกจากกับดักความยากจนทำได้ยากขึ้น