เทรดดิ้ง อีโคโนมิคส์ ซึ่งเป็นบริษัทในธุรกิจวิจัยและปรึกษาด้านการลงทุนชื่อดังแห่งหนึ่ง เปิดเผยว่า ในไตรมาสที่หนึ่งของปี 2025 ประเทศไทยมีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนเทียบกับตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพีไทยอยู่ที่ 88.2% ส่งผลให้ประเทศไทยมีภาวะหนี้ครัวเรือนมากเป็นอันดับ 7 ของโลก และยังอยู่ในอันดับที่ 2 ของเอเชีย โดยเป็นรองประเทศเกาหลีใต้ และเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน
สำหรับในแง่การเปรียบเทียบในภูมิภาคเอเชียนั้น ไทยมีภาวะหนี้ครัวเรือนมากกว่ามาเลเซีย ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์อินเดีย และอินโดนีเซีย ตามลำดับ โดยเฉพาะอินโดนีเซียมีภาวะสัดส่วนนี้ครัวเรือนคิดเป็นต่ำกว่า 20% ต่อจีดีพีเท่านั้น
เทรดดิ้ง อีโคโนมิคส์ ยังได้เปิดเผยต่อไปว่าสำหรับภาวะหนี้ครัวเรือนของไทยที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงของกลุ่มประเทศเกิดใหม่ และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนานั้น สะท้อนให้เห็นถึงประชาชนคนไทยมีการกู้หนี้มากเกินความจำเป็นแท้จริงรายวัน ประเทศไทยจะไม่เหมือนกับประเทศอื่นๆ ที่ถูกจัดเป็นประเทศความมั่งคั่ง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วการกู้ยืมเงินในประเทศที่มีความมั่งคั่งนั้น จะนำไปเพื่อสร้าง หรือลงทุนความมั่งคั่งต่อเนื่อง เช่น การทำธุรกิจหรือ การมีสินทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัย
ขณะที่ครัวเรือนไทยกู้ยืมเงินเพื่อการใช้จ่ายในสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดความมั่งคั่งน้อย ขณะนี้ประเทศไทยเผชิญกับภาระหนี้เพื่อการบริโภคเป็นหลัก ซึ่งกลายเป็นปัจจัยที่คุกคามอย่างจริงจังต่อความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวของประเทศไทย
เอ็มเป็นชื่อสมมุติของคนไทยคนหนึ่ง มีอายุ 38 ปี เรียนจบชั้นปริญญาตรี มีอาชีพเป็นพนักงานฝ่ายทรัพยากรบุคคลของร้านอาหารซูชิแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวนิกเคอิ เอเชีย ว่า ทุกเดือนจะมีภาระหนี้มากกว่าราว 30,000 บาทจากรายได้ต่อเดือนที่ 50,000 บาท
เอ็มยอมรับว่าภาระหนี้ที่เกิดขึ้นมาจาก ใช้เงินกับสิ่งที่ฟุ่มเฟือยเช่นการซื้อตั๋วเครื่องบิน ทุกวันนี้เอ็มต้องใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน และจะต้องเงินกันเงินเดือนส่วนหนึ่งส่งให้กับแม่ ในแต่ละเดือนจึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายขั้นต่ำ ให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะให้มีเงินสดไว้ใช้จ่ายในยามฉุกเฉิน
ธนาคารเพื่อการชำระธุรกรรมระหว่างประเทศ หรือบีไอเอส เปิดเผยว่าระดับภาระหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีที่มีความยั่งยืนควรจะอยู่ที่ระดับไม่เกิน 80% ต่อจีดีพีของประเทศ ซึ่งประเทศไทยมีภาระดังกล่าวเกินระดับ 80% ต่อจีดีพีเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา หลังจากรัฐบาลได้ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่หลังจากที่เผชิญกับวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ในปี 2554-2555 ภาระหนี้ดังกล่าวของประเทศไทยต่อจีดีพีพุ่งทะยานขึ้นระดับสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ที่ 94.6% ในปี 2021 ซึ่งอยู่ในช่วงของการเกิดวิกฤตการณ์โรคระบาดโควิด-19
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติประเทศไทยพบว่า ภาระหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยในเดือนมิถุนายน 2025 ที่เพิ่งผ่านไปนั้น จะเฉลี่ยอยู่ที่ครัวเรือนละ 144,871 บาท จะประกอบไปด้วย อันดับ 1 หนี้เพื่อการบริโภคคิดเป็นสัดส่วนมากที่สุดถึง 39.6% อันดับ 2 หนี้การซื้อหรือเช่าอสังหาริมทรัพย์คิดเป็น 34.7% อันดับ 3 หนี้ภาคการเกษตรคิดเป็น 16.7% อันดับ 4 หนี้การลงทุนภาคธุรกิจคิดเป็น 7.4% อันดับ 5 นี่ภาคการศึกษาคิดเป็น 1.4%