นายศิระ คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ. กรุงศรี กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มขยายตัว 3.7% (ยังไม่รวมผลของนโยบาย Digital Wallet) โดยการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มที่จะขยายตัว 3.8% ภาคการส่งออกมีแนวโน้มเติบโต 5.3% ทั้งนี้ กลุ่มประเทศในตลาดหลักที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ สหรัฐ ญี่ปุ่น และอาเซียน ขณะที่การส่งออกไปยังจีน และยุโรป ปรับตัวลดลง การใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มฟื้นตัวจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ ส่วนเงินเฟ้อของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 0.47% ในปีนี้ จากระดับ 1.3% ในปีที่แล้ว
ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ การฟื้นตัวของภาคการส่งออก และจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความไม่แน่นอนของนโยบาย Digital Wallet และภัยแล้งจากเอลนีโญ
สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปี 2567 คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงหนึ่งครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี ทั้งนี้ขึ้นกับภาพรวมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยจากภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคภายในประเทศจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเป็นหลัก“
ตลาดหุ้นไทยปี 2567 ยังมีความน่าสนใจจากการปรับตัวลดลงมาและมีอัตราการเติบโตของผลกำไรบริษัทจดทะเบียนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2566 โดยปัจจัยบวกสำคัญในระยะสั้นคือความชัดเจนในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลโดยเฉพาะนโยบายเงินดิจิทัล คาดการณ์ว่าแนวโน้มหุ้นไทยจะได้รับผลบวกจากการผ่อนคลายนโยบายการเงิน รวมถึงค่าเงินบาทที่เริ่มมีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้น และมีเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติที่กลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยหลังจากขายออกไปกว่า 1.92 แสนล้านบาทในปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บลจ.กรุงศรี คาดการณ์ว่า SET Index ณ สิ้นปี 2567 จะอยู่ที่ระดับ 1,552 จุด หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นใน 9.61% จากสิ้นปี 2566 บนสมมติฐาน EPS ที่ 96.8 บาท และค่า PER ที่ 16 เท่า ส่วนแนวรับสำคัญที่ 1,200 จุด
ส่วนแนวโน้มการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศปี 2567 มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นหากเปรียบเทียบกับช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาแต่อาจมีความผันผวนอยู่บ้าง และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ได้ปรับขึ้นมาอยู่ในระดับที่น่าลงทุนมากขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของไทยปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินไปและอยู่ในระดับขอบล่างของเงินเฟ้อเป้าหมายที่ธปท.กำหนดไว้ที่ 1.00 – 3.00%
ดังนั้น กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนมีโอกาสสร้างอัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้อีก การปรับอายุคงเหลือเฉลี่ยกองทุนด้วยกลยุทธ์เชิงรุกช่วยเพิ่มโอกาสสร้างอัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มให้กับกองทุนได้จากความผันผวนของตลาดตลอดทั้งปี ทั้งนี้ แนะนำให้เพิ่มการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือเฉลี่ยที่ยาวขึ้นควบคู่ไปกับการลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนคุณภาพดี“