น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.เดินหน้าตามแผนงานปั้นผลักดันให้ประเทศไทย เป็นฮับแห่งการจัดอีเวนต์และคอนเสิร์ต เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ สร้างเม็ดเงินใช้จ่าย เนื่องจากอีเวนต์และคอนเสิร์ตเหล่านี้ นอกจากจะสามารถสร้างเม็ดเงินสะพัดในทางตรงแล้ว ยังสร้างรายได้ทางอ้อมเพิ่มขึ้นอีกกว่า 5-10 เท่า เป็นการใช้จ่ายจากด้านต่างๆ อาทิ การรับประทานอาหาร ซื้อกลับบ้าน ซื้อเป็นของฝาก หรือการเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ก็จะเกิดการจับจ่ายเพิ่มมากขึ้น ถือเป็นการหมุนเวียนเศรษฐกิจในภาพรวม ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่สนับสนุนการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวไทยผ่านมิติต่างๆ อย่างเต็มขีดความสามารถ โดยล่าสุด ททท. ภายใต้การนำของนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ร่วมแถลงข่าวเตรียมความพร้อมงานใหญ่ใจกลางกรุง ‘ บางกอกไพรด์ เฟสติวัล 2024’ (
) ในแนวคิด Celebration of Love พร้อมเนรมิตถนนพระราม 1 เป็นถนนสีรุ้งแห่งความเท่าเทียม ตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม – 4 มิถุนายน 2567 นี้ เคานต์ดาวน์นับถอยหลังสู่การใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมก่อนสิ้นปี 2567 พร้อมตั้งเป้าความสำเร็จในปีนี้เป็นแรงขับเคลื่อนให้เยาวชน LGBTQIAN+ และเครือข่ายผู้จัดงานไพรด์ทั่วประเทศไทย (Nationwide Pride)
โดยนับเป็นการต่อยอดจากความสำเร็จครั้งใหญ่ของงานมหาสงกรานต์เฟสติวัล ที่ท้องสนามหลวง ซึ่งสร้างการรับรู้ให้เกิดจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงการใช้จ่ายสะพัดหลักพันล้านบาท ซึ่งแผนงานจากนี้ททท. จะเดินหน้าดึงคอนเสิร์ตและอีเวนต์ขนาดใหญ่เข้ามาจัดในไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีกิจกรรมหมุนเวียนสร้างเม็ดเงินสะพัดตลอดทั้งปี โดยงานบางกอกไพรด์ เฟสติวัล ก็ถือเป็นอีเวนต์หลักที่ททท. ผลักดันให้เป็นหมุดหมายหนึ่งที่ผู้คนต้องการเข้ามาร่วมงานด้วย
น.ส.ฐาปนีย์กล่าวว่า ภาคการท่องเที่ยวไทย มีความยินดีในการต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัย มีความเป็นมิตรสูง ซึ่งงานนี้จะสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเจ้าบ้านที่ดีของคนไทยมากขึ้น จากการให้ความสำคัญกับกลุ่มนักท่องเที่ยว LGBTQIAN+ เนื่องจากเป็นกลุ่ม Niche ที่ทรงพลัง มีคุณภาพและมีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง เดินทางบ่อยครั้ง และระยะเวลาพำนักที่ยาวนาน มีความ Loyalty สูง เป็นกลุ่มสำคัญที่ก่อให้เกิดเม็ดเงินไหลเวียนทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล โดยผลสำรวจชี้ว่า นักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTQIAN+ มีมูลค่าตลาดสูงถึง 6.64 ล้านล้านบาท และมีกำลังซื้อสูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไปถึง 40% ซึ่งคาดการณ์กันว่าจะมีนักเดินทางกลุ่มนี้ประมาณ 180 ล้านคน ในปี 2030