คาร์เนกี้ โพลิติก้า (Carnegie Politika) เปิดเผยรายงานที่เผยแพร่โดยโครงการรัสเซีย-ยูเรเซีย เพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ ซึ่งอิงข้อมูลจากกระทรวงกลาโหมแห่งชาติรัสเซียว่า จำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวี HIV ในหมู่ทหารรัสเซีย เพิ่มขึ้น 2,000% นับตั้งแต่รัสเซียเริ่มเปิดฉากการรุกรานยูเครนอย่างเต็มรูปแบบ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว แพทย์ทหารรัสเซียยอมรับว่าจำนวนผู้ติดเชื้อดังกล่าวในกองทัพเพิ่มขึ้น 5 เท่าในไตรมาสแรกของปี 2022 และพุ่งถึง 40 เท่าในต้นปี 2023 ขณะที่สิ้นปีนั้น อัตราการตรวจพบเชื้อในทหารสูงกว่าก่อนสงครามถึง 20 เท่า
ตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2565 เมื่อสงครามยูเครน-รัสเซียปะทุขึ้น จนถึงฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน) ของปีเดียวกัน ได้รับการยืนยันจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่เพิ่มขึ้น 5 เท่า เมื่อเทียบกับก่อนช่วงเกิดสงคราม และยังพบการติดเชื้อมากขึ้นถึง 13 เท่า ในช่วงปลายปีดังกล่าว รวมทั้งในต้นปี 2567 พบการติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้นถึง 20 %
ปัจจัยที่ทำให้จำนวนการติดเชื้อในกองทัพเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดมาจาก การถ่ายเลือด การใช้เข็มฉีดยาที่ปนเปื้อนในโรงพยาบาลสนาม การมีเพศสัมพันธ์ และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
สื่อท้องถิ่นในประเทศรัสเซีย รายงานว่าใน 14 แคว้นของรัสเซีย มีหญิงตั้งครรภ์ที่ตรวจพบเชื้อเอชไอวี HIV เกิน 1% อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งตามเกณฑ์องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ถือว่าเข้าสู่การระบาดทั่วไป นั่นหมายถึงไม่สามารถจำกัดกลุ่มเสี่ยงได้อีกต่อไป ในปี 2016 จำนวนผู้ติดเชื้อ HIV ในรัสเซียทะลุ 1 ล้านคน คิดเป็นเกือบ 1% ของประชากรทั้งหมด และราว 1.5–2% ของประชากรวัยทำงาน ยังไม่นับผู้ที่ไม่เคยตรวจเชื้อเลย ทั้งที่ยังสามารถควบคุมโรคได้
ข้อมูลจาก UNAIDS เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา รัสเซียติดอันดับ 5 ของโลกในแง่ประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวี HIV รายใหม่ โดยคิดเป็น 3.9% ของทั้งหมด ขณะที่แอฟริกาใต้ โมซัมบิก ไนจีเรีย และอินเดียมีตัวเลขสูงกว่า แต่มีประชากรมากกว่ารัสเซียมากมาย ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลกสามารถควบคุมโรคได้แล้ว รัสเซียกลับยังพบผู้ติดเชื้อใหม่ปีละ 50,000-100,000 ราย
สถานการณ์การแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวี HIV ในรัสเซีย ยังมีสาเหตุมาจากฝ่ายการเมืองขัดขวางการควบคุมโรค รัฐบาลยังคงสั่งห้ามการบำบัดด้วยยาเมทาโดน แม้จะว่าองค์การอนามัยโลกจะรับรองว่าช่วยลดอันตรายจากการติดเชื้อเอชไอวี HIV ได้ และยังห้ามการเรียนเพศศึกษาในโรงเรียนด้วย
นอกจากนี้ รัฐบาลรัสเซียอ้างว่าเพื่อปกป้องสิ่งที่เรียกว่าค่านิยมดั้งเดิม เช่น การสั่งขึ้นบัญชีองค์กรการกุศลของเอลตัน จอห์น นักดนตรีชาวอังกฤษที่มุ่งสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับเอชไอวี/เอดส์ ให้อยู่ในรายชื่อองค์กรไม่พึงประสงค์ เพราะส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเพศที่ไม่เป็นไปตามขนบธรรมเนียมรัสเซีย
ชาวรัสเซียติดเชื้อเอชไอวี HIV จากสงครามยูเครนจำเป็นต้องได้รับการรักษาไปตลอดชีวิต ไม่ใช่แค่เพื่อช่วยชีวิตตนเอง แต่เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น จึงกลายเป็นภาระของงบประมาณรัฐบาลรัสเซีย ระบบสาธารณสุข และตลาดแรงงานในรัสเซียไปจนถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 21 ยาวนานกว่าการสิ้นสุดของสงคราม หรือแม้แต่การสิ้นสุดของยุคปูตินด้วย
โดยสรุป อัตราการติดเชื้อเอชไอวี HIV ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลเสียกับประเทศรัสเซียครั้งใหญ่และในอนาคต ปัญหาการระบาดของเชื้อเอชไอวี HIV จะส่งผลกระทบนับหลายทศวรรษ และท้ายที่สุด อาจรุนแรงกว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากสงคราม