ตลาดซื้อขายทองคำโลก นิวยอร์ก เมื่อคืนวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา พบว่า ราคาทองคำส่งมอบทันที หรือ Gold Spot ปิดที่ 2,740.96 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +3.61 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +0.2% ส่งผลราคาปิดขึ้น 2 วันรวมกัน +4.68 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือ +0.3% สำหรับราคา Spot สูงสุดระหว่างวันเป็นประวัติศาสตร์ที่ระดับ 2,790.15 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ สถิติราคาส่งมอบทันที (Spot) ปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์เกิดขึ้นรวมทั้งหมด 7 ครั้งในเดือนตุลาคม
สอดรับกับราคาทองคำล่วงหน้า หรือ Gold Future นิวยอร์ก สหรัฐ ปิดที่ระดับ 2,749.70 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ +3.50 หรือ +0.1% ขณะที่สถิติราคาทองคำล่วงหน้า (Future) ปิดสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์เกิดขึ้นรวมทั้งหมด 6 ครั้งในเดือนตุลาคม สำหรับราคาล่วงหน้า (Future) สูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ที่ระดับ 2,800.80 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2024
สิ้นสุดเดือนตุลาคมผ่านไป ราคาทองคำโลกพุ่งขึ้น 4% และปิดเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน ในสัปดาห์ผ่านไป ราคาทองคำโลกพุ่งทะยานถึง +2.4% และนับตั้งแต่ต้นปีนี้ราคาทองคำพุ่งทะยานกว่า 32% ส่งผลให้มีความเป็นไปได้สูงมากที่ราคาทองคำในปี 2024 นี้ จะทำสถิติราคาพุ่งทะยานดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 1979 หรือในรอบ 45 ปี
ด้านการวิเคราะห์ราคาทองคำทางเทคนิค พบว่า ดัชนีค่าความแข็งแกร่งราคาทองคำเมื่อเปรียบเทียบ หรือ Relative Strength Index (RSI) อยู่ที่ระดับ 74 จุด หมายถึงราคาทองคำเข้าสู่ภาวะซื้อลงทุนมากเกินปัจจัยแท้จริง
สาเหตุจากนักลงทุนเพิ่มความระมัดระวังอย่างเข้มข้นโดยเฉพาะผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 ซึ่งผลคะแนนคณะผู้เลือกตั้งของทั้งนายโดนัลด์ ทรัมป์ และนางกมลา แฮร์ริส ได้รับการคาดการณ์ว่ามีคะแนนสูสีอย่างมาก สำหรับปัจจัยที่ 2 คือ วันที่ 6-7 พฤศจิกายน เป็นการประชุมดอกเบี้ยระยะสั้นของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดการณ์ว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความรุนแรงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอเลาะห์กลายเป็นเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ
ด้านตัวชี้วัดโอกาสปรับลดดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐอเมริกา พบว่า การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐครั้งต่อไปวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ มีโอกาสที่ 100% จากเดิมที่ 95% ที่ดอกเบี้ยจะปรับลดลง 0.25%