องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือโออีซีดี OECD เปิดเผยว่า ในปี 2024 สถานการณ์การก่อหนี้ทั่วโลกอยู่ในภาวะพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยพบว่ามูลค่าหนี้สาธารณะ หรือหนี้ของรัฐบาลและหนี้ภาคเอกชนทั่วโลก รวมสะสมกันสูงถึง 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3,400 ล้านล้านบาท ที่สำคัญนับเป็นครั้งแรกและปีแรกที่มูลค่าหนี้ทั่วโลกรวมกันแตะหลัก 100 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
สาเหตุมาจากต้นทุนทางการเงินหรืออัตราดอกเบี้ยทรงตัวอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องในปี 2024 ทำให้บรรดาเจ้าหนี้ไม่ว่าจะเป็นทั้งรัฐบาลหรือธุรกิจภาคเอกชนเผชิญข้อจำกัดในการระดมทุนจากต้นทุนของดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงนอกจากนี้ยังต้องจัดลำดับความสำคัญในการลงทุนเนื่องจากจะต้องระดมทุนผ่านการก่อหนี้ที่มีมูลค่าสูงท่ามกลางปัจจัยความเสี่ยงและความไม่แน่นอนสูงของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก
โออีซีดี เปิดเผยต่อไปว่า ในช่วงระหว่างปี 2021 ถึง 2024 หรือ 3 ปีติดต่อกันนั้น พบว่าต้นทุนของอัตราดอกเบี้ย พุ่งทะยานขึ้นจากระดับต่ำสุดขึ้นไปถึงระดับสูงสุดภายในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาหรือนับตั้งแต่ปี 2014 ต้นทุนในการจ่ายผลตอบแทนในรูปอัตราดอกเบี้ยให้กับนักลงทุนพันบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นแตะที่ระดับ 3.3% ของมูลค่าขนาดเศรษฐกิจ หรือจีดีพีของประเทศสมาชิกทั้งหมดในกลุ่มโออีซีดี ที่น่าสนใจคือ ค่าใช้จ่ายดังกล่าวเพิ่มสูงมากกว่างบประมาณด้านการทหาร หรืองบประมาณด้านกลาโหม
ถึงแม้ว่าในขณะนี้ธนาคารกลางขนาดใหญ่และสำคัญของโลกรวมถึงหลายหลายแห่งได้ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงรวมถึงมีการตึงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวต่อเนื่อง แต่ต้นทุนและค่าใช้จ่ายของดอกเบี้ยที่องค์กรรัฐและเอกชนต่างๆได้กู้ยืมไปแล้ว ล้วนเฉลี่ยอยู่ในระดับสูงเมื่อเปรียบเทียบกับในปี 2022 ดังนั้นการระดมทุนด้วยการออกตราสารหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำก่อนหน้านี้จะถูกแทนที่โดยตราสารหนี้ที่มีอัตราเฉลี่ยดอกเบี้ยสูง ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของการระดมทุนในรูปแบบนี้จะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
ดังนั้นต้นทุนในการระดมทุนที่สูงขึ้นรวมถึงปัจจัยเสี่ยง ของภาระหนี้ที่สูงขึ้นทั้งสองอย่างจึงกลายเป็นปัจจัยหรือข้อจำกัด ในความสามารถในการระดมทุนในอนาคต ในแง่ประเทศที่มีความเสี่ยงสูงได้แก่ ประเทศที่มีรายได้ต่ำ และมีความเสี่ยงสูง จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการปรับโครงสร้างหนี้รวมถึงโครงสร้างทางการเงิน เนื่องจากมีมากกว่า 50% ของตราสารหนี้ที่จะถึงอายุในการไถ่ถอนให้กับเจ้าหนี้ภายใน 3 ปีข้างหน้า ที่น่ากังวลคือมีมากกว่า 20% ที่จะต้องถึงวันไถ่ถอนชำระหนี้ภายในปี 2025 นี้
ธุรกิจภาคเอกชนในภาพรวมทั่วโลกระดมทุนด้วยการออกหุ้นกู้ขึ้นถึงระดับสูงสุดในรอบ 17 ปี หรือตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา หรือที่เรียกกันว่าวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ การระดมทุนที่สูงมากในรอบ 17 ปีเพื่อนำเงินที่ได้มาทำการปรับโครงสร้างทางการเงินของบริษัท และซื้อคืนหุ้นของบริษัทในตลาดหุ้นเพื่อรักษาสภาพคล่อง และราคาหุ้นของบริษัทที่เผชิญกับสถานการณ์การลงทุนที่ลดต่ำลง หรือมีข้อจำกัดจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา ซึ่งสะท้อนได้จากโครงการลงทุนของบริษัทภาคเอกชนในภาพรวมทั่วโลกลดต่ำลงนับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา