นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยถึงแนวทางการบริหารเศรษฐกิจของพรรคภูมิใจไทยว่า โดยปกติพรรคภูมิใจไทยไม่มีทีมเศรษฐกิจเป็นของตัวเองมาตั้งแต่ต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆ ที่มักจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจประจำพรรคอยู่แล้ว หากพิจารณาจากอดีตจะเห็นได้ว่าพรรคนี้ถนัดงานด้านสาธารณสุขและโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้พรรคภูมิใจไทยจึงจำเป็นต้องพึ่งพาคนนอกที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์มาบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจแทน ซึ่งเป็นโมเดลที่คล้ายคลึงกับรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี
สำหรับรัฐบาลยุคนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 การเลือกนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ มาดูแลงานด้านเศรษฐกิจการคลัง ถือเป็นการใช้คนนอกที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เนื่องจากนายเอกนิติมีทั้งพื้นฐานทางวิชาการระดับปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ และประสบการณ์ทำงานจริงในหน่วยงานของกระทรวงการคลัง จึงมีความเข้าใจทั้งเชิงทฤษฎีและการบริหารระบบราชการ จุดแข็งดังกล่าวทำให้สามารถทำงานกับข้าราชการประจำได้อย่างราบรื่น ซึ่งแตกต่างจากผู้เชี่ยวชาญบางรายที่อาจเก่งด้านวิชาการแต่ไม่สามารถประสานงานกับระบบราชการได้
อย่างไรก็ตาม มองว่าความท้าทายสำคัญอยู่ที่ “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” ของเศรษฐกิจไทยที่สะสมมานาน โดยเฉพาะหลังโควิด-19 ที่สะท้อนให้เห็นว่าพื้นฐานเศรษฐกิจอ่อนแอมากขึ้น ทั้งด้านคุณภาพการศึกษา การเข้าถึงการเรียนรู้ที่ไม่ทั่วถึง ระบบตลาดแรงงานที่ไม่สามารถผลิตบุคลากรรองรับอุตสาหกรรมใหม่ๆ ได้ รวมถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยที่ยังจำกัด ที่ผ่านมา รัฐบาลชุดเดิมเลือกเพียงการประคองเศรษฐกิจด้วยมาตรการอัดเม็ดเงิน เช่น การส่งเสริมการกู้ยืมหรือการแจกเงินในรูปแบบประชานิยม มากกว่าการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานอย่างแท้จริง
โดยรัฐบาลชุดใหม่ก็ดูจะยังเดินตามแนวทางเดิม โดยมุ่งเน้นมาตรการระยะสั้น เช่น การผลักดันโครงการ “คนละครึ่ง” กลับมา ซึ่งแม้จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้บ้าง แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างได้ตรงจุด อีกทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มมีประสิทธิภาพลดลงต่อเนื่อง เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่หวังจะสร้างพายุเศรษฐกิจกลับไม่เห็นผลชัดเจน เงินที่อัดฉีดหายไปโดยไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้อย่างเป็นรูปธรรม
อย่างไรก็ดี ข้อจำกัดของรัฐบาลนี้อยู่ที่ระยะเวลา เนื่องจากมีอายุทางการเมืองเหลือเพียงไม่กี่เดือนก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้งใหม่ จึงแทบไม่มีโอกาสผลักดันนโยบายเชิงโครงสร้างที่ใช้เวลานานได้ นอกจากนี้ ความไม่เข้มแข็งทางการเมืองยังเป็นอีกปัจจัยที่กดดัน เพราะแม้พรรคภูมิใจไทยจะได้เสียงโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ต้องเผชิญฝ่ายค้านขนาดใหญ่ และการผลักดันนโยบายจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบทั้งจากพรรคภูมิใจไทยและพรรคพันธมิตร หากมีความเห็นไม่ตรงกัน นโยบายก็อาจสะดุดตั้งแต่ต้นทาง
หากเปรียบเทียบมาตรการระหว่าง “คนละครึ่ง” และ “ดิจิทัลวอลเล็ต” มองว่าทั้งสองโครงการมีเป้าหมายแตกต่างกัน โดยคนละครึ่งเหมาะกับคนชั้นกลางที่ต้องควักเงินตัวเองสมทบ จึงกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้ดีกว่า เพราะเกิดการใช้จ่ายจากทั้งรัฐและประชาชน ขณะที่ดิจิทัลวอลเล็ตควรเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะผู้มีรายได้น้อย เพื่อทดแทนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมากกว่าการแจกเป็นวงกว้าง ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพดีกว่า
ดังนั้น ข้อเสนอจากตน หากรัฐบาลของนายอนุทินจะใช้งบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ควรใช้อย่างจำกัดและมุ่งตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลือจริง พร้อมเก็บทรัพยากรไว้เพื่อการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว เพราะมาตรการกระตุ้นแบบกว้างๆ มีแนวโน้มได้ผลน้อยลงเรื่อยๆ และไม่สามารถสร้างการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนได้