ทีสเซนครัพพ์ (Thyssenkrupp) ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ระดับตำนานในอุตสาหกรรมเหล็กของยุโรปและเยอรมนี และเป็นผู้ผลิตเหล็กที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศเยอรมนี เปิดเผยว่า ภายใน 6 ปีจากนี้ไป หรือภายในปี 2030 จะเริ่มทยอยปลดพนักงานครั้งใหญ่ออกเป็นจำนวนมากถึง 11,000 คน หรือคิดเป็น 40% ของพนักงานทั้งหมด 27,000 คนที่มีอยู่ในบริษัทในปัจจุบัน การปลดพนักงานจะประกอบไปด้วย 2 ระยะ เริ่มจาก ปลดออกจำนวน 5,000 คนภายในปี 2030 และอีก 6,000 คน จะถูกปลดจากการที่ให้บริษัทในเครือแยกออกไปเป็นอิสระ ไม่ขึ้นกับบริษัทแม่อีกต่อไป หรือมีการยุบบริษัท และก่อตั้งขึ้นใหม่ในสายอุตสาหกรรมอื่นๆในอนาคต นอกจากนี้โรงงานที่อยู่ในเครือของบริษัททีสเซนครัพพ์ ได้แก่ โรงงาน Kreuztal-Eichen จะต้องปิดตัวลงไปพร้อมกับการปลดพนักงานจำนวน 500 คนด้วย
สาเหตุที่มีความจำเป็นต้องปลดพนักงานมากถึง 11,000 คนในครั้งนี้เป็นผลมาจากการแข่งขันของอุตสาหกรรมเหล็กทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล็กจากประเทศจีนซึ่งมีราคาถูก และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างตลาด ตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถอีวีในยุโรปนั้น ชะลอตัวอย่างตกต่ำและต่อเนื่อง ทำให้ไม่มีความต้องการที่จะใช้เหล็กในการผลิตรถอีวี นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายในการตัดลดค่าใช้จ่ายให้ได้ถึง 10% ภายในระยะเวลา 5-6 ปีข้างหน้า ที่สำคัญต้องการที่จะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิต และปรับปรุงประสิทธิผลของผลผลิต เพื่อที่จะเป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการสร้างต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้
ทีสเซนครัพพ์ เปิดเผยต่อไปว่า จะต้องมีการปรับลดกำลังการผลิตเหล็กในอนาคต จากระดับในปัจจุบันปีละ 11.5 ล้านเมตริกตันให้ลงมาเหลือเพียง 8.7-9.0 ล้านเมตริกตันต่อปีในอนาคต หรือรถกำลังการผลิตลงกว่า 24%
ในด้านผลการดำเนินงานนั้น ในปี 2024 นี้ ทีสเซนครัพพ์ตกอยู่ในภาวะวิกฤตโดยไตรมาสที่ 1 ปีนี้ มียอดขายลดลง และต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2023 ที่สำคัญ สถานการณ์ก็ยังยิ่งเลวร้ายลง ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าเมื่อถึงสิ้นปีนี้ ตัวเลขขาดทุนจะอยู่ที่ 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 55,400 ล้านบาท ส่งผลให้นายเบิร์นฮาร์ด ออสเบิร์ดซึ่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยกรรมการในคณะกรรมการบริหารอีก 5 คนลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบที่ไม่สามารถแก้ปัญหาธุรกิจได้
ทีสเซนครัพพ์ ก่อตั้งขึ้นในยุค 1800 หรือเมื่อกว่า 224 ปีผ่านมา ในปี 1999 บริษัทเหล็กทีสเซนครัพพ์ควบรวมกับบริษัทผลิตเหล็กร่วมชาติของตระกูลทีสเซน จึงกลายเป็นทีสเซนครัพพ์ขึ้น โดยใช้เหล็กเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตบันไดเลื่อน ลิฟต์ เรือดำน้ำ เมื่อปี 2015 บริษัทดังกล่าวกลายเป็นบริษัทชั้นนำระดับต้น ๆ ของทั้งเยอรมนี และยุโรป โดยมีบริษัทในเครือกว่า 600 แห่ง และถูกจัดให้เป็นกลุ่มธุรกิจเหล็กใหญ่ติด 1 ใน 10 ของโลก
ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ทีสเซนครัพพ์มีมูลค่าตลาดที่ 2,400 ล้านยูโร หรือกว่า 87,600 ล้านบาท ซึ่งลดน้อยลงถึงครึ่งหนึ่งเมื่อ 2 ปีผ่านมา