นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า เริ่มเห็นความแตกต่างของพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งจะพบว่าผู้มีรายได้ปานกลาง ขึ้นไป กลับไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย โดยจะเห็นได้จากยอดซื้อสินค้าคงทนโตชะลอลง เช่น บ้าน, รถยนต์ ในขณะที่ผู้ที่มีรายได้น้อย จะกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลจากการได้รับเงินโอน 10,000 บาท จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
โดยจากดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน ธ.ค. ที่ปรับตัวดีขึ้น เพราะผู้บริโภคมองว่าเศรษฐกิจในอนาคตจะค่อย ๆ กลับมาดีขึ้น จึงส่งผลให้ความเชื่อมั่นหรือความมั่นใจเริ่มกลับมา เพียงแต่ยังอยู่ภายใต้ความมั่นใจในปัจจุบันที่ยังต่ำกว่าระดับปกติ โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ได้เริ่มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องกันในช่วง 3 เดือน ซึ่งจะเห็นได้จากพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในเทศกาลต่าง ๆ ที่ผ่านมา ทั้งเทศกาลลอยกระทง เทศกาลปีใหม่ และวันเด็ก ซึ่งมีทิศทางที่ดีขึ้นจากปีก่อน
ทั้งนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย ยังเชื่อว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/68 จะยังเติบโตได้แบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากผลของความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า ภายใต้นโยบายประธานาธิบดีใหม่ของสหรัฐฯ, ผลกระทบจากกรณีรัสเซียถูกแซงชั่นจากสหรัฐ ซึ่งจะมีผลต่อต้นทุนราคาพลังงานโลกให้สูงขึ้น และมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ตลอดจนผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวไทยของนักท่องเที่ยวจีน ภายหลังเกิดเหตุดาราจีนถูกลักพาตัว ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่จะถึงนี้ รวมทั้งยังหวังว่ามาตรการ Easy E-receipt ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนม.ค.-สิ้นเดือนก.พ.นี้ รวมทั้งเงิน 10,000 บาท ให้กับผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป รวมทั้งมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1
อย่างไรก็ตาม หอการค้าฯ อยากเห็นมาตรการคูณสอง เข้ามาช่วยด้วย เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจไตรมาส 1 ดังนั้นไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 เป็นตัวชี้เศรษฐกิจปีนี้ว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะโตได้ราว 3% โดยเศรษฐกิจจะถูกเคลื่อนโดยการจับจ่ายใช้สอยที่จะดีขึ้นในไตรมาส 1 ถ้ามีมาตรการเสริม แต่สิ่งที่จะ confirm ว่าเศรษฐกิจฟื้นหรือไม่ ต้องดูจากสัญญาณของภาคธุรกิจด้วย โดยสามารถชี้วัดได้ในไตรมาส 1 จุดเปราะบางของเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง จะมีความเสี่ยงรุนแรง หรือจะเติบโตน้อยลงหรือไม่ สามารถเช็คได้จากไตรมาสที่ 2 จากปัจจัยสำคัญ 2 ตัว คือ สงครามการค้ารุนแรงหรือไม่ และการเมืองไทยจะมีปัญหาหรือไม่